วันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2568

Review: Taxi Driver (2021)

 Taxi Driver (2021) รับชมได้ทาง: VIU

#ปีนรั้วรีวิว #Action #Crime #Drama Director: Park Joon-Woo
       “อย่าตาย แก้แค้นซิ เราจัดการให้เอง” ซีรีส์แอคชั่น ล้างแค้น เล่าเรื่องราวของ คิมโดกี (อีเจฮุน) พนักงานขับรถแท็กซีวีไอพี ที่หากมองดูจากภายนอกคงไม่ต่างจากคนทั่วไป แต่ที่จริงแล้วเขาเป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มคนที่รวมตัวกันอย่างลับ ๆ ด้วยการทำธุรกิจให้เช่ารถแท็กซีและองค์กรการกุศล เพื่อช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมเป็นการบังหน้า แต่เบื้องหลังของ คิมโดกีและสมาชิกคนที่เหลือ อย่างประธานจางซึงชอล (คิมอึยซุง), อันโกอึน (พโยเยจิน) และคู่ซี้ ชเวคยองกู (จางฮยอกจิน) กับ พัคจินอน (เบยูรัม) คือกลุ่มใต้ดิน ที่รับจ้างแก้แค้นให้กับผู้คนที่ไร้หนทางพึ่งพิงแม้กระทั่งกฎหมาย

เพียงแต่ว่าเป้าหมายรายล่าสุดของทีมแท็กซี่วีไอพีอย่าง โจโดชอล ชายที่เพิ่งพ้นโทษออกจากเรือนจำในคดีล่วงละเมิดทางเพศ คิมโดกี ดันทำพลาดทิ้งร่องรอยเอาไว้ให้กับ อัยการคังฮานา (อีซม) อัยการสาวไฟแรงที่ทำคดีการหายตัวไปของ โจโดชอล และเธอยังคิดว่าแท็กซีวีไอพีคันนี้ยังอาจมีความเกี่ยวโยง กับอาชญากรรมแปลก ๆ ในช่วงที่ผ่านมาอีกด้วย

ซีรีส์เกาหลีแนวแอคชั่นศาลเตี้ย ที่ทำออกมาสนองแฟนตาซีใครหลายคน ที่ในชีวิตจริงต่อให้ได้รับความไม่ยุติธรรมขนาดไหน ก็คงมีน้อยคนที่จะกล้าบ้าบิ่นพอทำเรื่องนอกกฎหมายเพื่อแก้แค้น เพราะในทางกลับกันหากคนเราเลือกเส้นทางแก้แค้นเมื่อไหร่ จากที่เคยเป็นผู้ถูกกระทำ สถานะก็จะเปลี่ยนเป็นผู้กระทำความผิดทันที จากมุมมองกฎหมายที่เป็นเครื่องมือจัดระเบียบให้กับสังคม ซึ่งจุดนี้นี่แหละครับที่ผมว่ามันท้าทายสำหรับซีรีส์เรื่องนี้ ว่าจะพาตัวเองไปได้ไกลแค่ไหน จะเลือกการเซอร์วิสแฟนตาซีการแก้แค้นไปจนจบ จะเลือกตั้งคำถามกับระบบที่ไม่สามารถช่วยผู้ที่ถูกกระทำได้ หรือจะตั้งคำถามกับการแก้แค้นว่ามันใช่หนทางที่ถูกต้องหรือเปล่า ส่วนซีรีส์เรื่องนี้เลือกเดินไปที่จุดไหนเดี๋ยวมาพูดถึงกันครับ

ตั้งแต่พาทแรกซีรีส์ก็เลือกใช้วิธีสนองแฟนตาซีสังคม ด้วยคดีที่เกิดขึ้นจริงแล้วก็กำลังเป็นกระแสสังคมมาใช้ ซึ่งก็คือ โจโดชอล คาแรคเตอร์ตัวละครที่หากใครติดตามเรื่องราวดราม่าสังคมทางฝั่งเกาหลีบ้าง น่าจะพอนึกออกว่าคาแรคเตอร์ตัวละครนี้ ได้แรงบันดาลใจมาจากคนร้ายในคดีนายองเคส แล้วไม่ใช่เพียงแค่ Taxi Driver เรื่องนี้เท่านั้นที่หยิบเอามาใช้ ซีรีส์ Law School ที่ออนแอร์ในช่วงเดียวกัน ก็ยังนำเอาคาแรคเตอร์คนร้ายในคดีเดียวกันมาใช้อีกด้วย แต่เอาเข้าจริงมันก็เหมือนเป็นการหยิบคาแรคเตอร์มาปลุกกระแสในช่วงแรกเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นซีรีส์ก็บิดเรื่องราวไปสู่เนื้อหาหลักของตัวเอง

ซึ่งนอกจากเคสของ โจโดชอล แล้ว ในแต่ละเคสที่ทีมแท็กซีสายรุ่งรับทำ ก็ยังได้แรงบันดาลใจมากจากเรื่องจริงด้วยเช่นกัน อย่างเคสของยูเดต้า ก็เอามาจากเรื่องจริงของประธานบริษัทแห่งหนึ่ง ที่มักใช้ความรุนแรงกับพนักงาน คดีฆาตกรรมแม่ของ คิมโดกี คดีฆาตกรรมพ่อแม่ของประธานจางซึงชอล คดีแรงงานทาสคังมาเรีย หรือในตอนที่ 15 ก็มีการใช้คดีฮวาซองเคส ฆาตกรรมต่อเนื่องคดีดังของเกาหลี แทบจะเรียกได้ว่าทุกเคสต่างได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริงทั้งนั้น

โดยวิธีการเล่าเรื่องของซีรีส์จะมีเส้นเรื่องหลักเป็นพื้นหลัง อย่างเรื่องของวิธีการลงโทษอาชญากร ที่ในด้านหนึ่งทีมแท็กซีสายรุ่งก็เอาตัวเองไปพัวพันกับพวกนอกกฎหมาย แล้วเมื่อสิ่งที่ตัวเองทำก็ไม่ถูกต้องในสายตาของผู้รักษากฎหมาย มันก็มีราคาที่ต้องจ่ายรวมถึงผลเสียสะท้อนกลับมาเช่นกัน

แล้วในเส้นเรื่องรองซีรีส์ก็จะเล่าถึงเคสต่าง ๆ ที่ทีมแท็กซี่สายรุ่งรับจ้างแก้แค้น ซึ่งแต่ละเคสผมบอกได้เลยว่าถึงต่อให้เรื่องนี้เป็นซีรีส์เกาหลี แต่มันก็เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นอยู่แทบทุกวันในทุกสังคม อย่างเคสคังมาเรีย เด็กสาวที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ที่ถูกหลอกให้มาใช้แรงงานผิดกฎหมายในโรงงานเถื่อน มันสะท้อนถึงกลุ่มคนเปราะบางในสังคมที่มักจะถูกเอารัดเอาเปรียบ จากความไม่รู้ จากความด้อยโอกาส จากทางเลือกที่มีไม่มากเลยมักจะถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม

เคสพัคจองมิน เด็กที่ถูกใช้ความรุนแรงกลั่นแกล้งในโรงเรียน ในตอนนี้ซีรีส์ชูประเด็นที่เหมือนเป็นการแอบตั้งคำถาม ถึงความผิดของผู้เยาว์ในฐานความผิดเดียวกันกับผู้ใหญ่ ด้วยประโยคที่ว่า “ไม่ว่าใครเป็นคนขว้างหิน หินมันก็จมอยู่ดี” ซึ่งมันเป็นการเปรียบเทียบว่า ยังไงผลกระทบมันก็ย่อมเกิดขึ้น ไม่ว่าผู้กระทำผิดจะเป็นเยาวชนหรือว่าผู้ใหญ่กระทำ เป็นตอนที่แม้จะเป็นเรื่องของวัยรุ่นยังเป็นเยาวชน แต่ผมว่าซีรีส์ก็ไปได้เกือบสุดทาง ไม่ใช่แค่ให้บทสรุปแบบโลกสวย แต่บอกว่าโลกมันก็เบี้ยว ๆ แบบนี้แหละ เราเองก็ต้องแกร่งขึ้นเช่นกัน ในเคสอื่น ๆ ยังมีทั้งเรื่องของแก๊งคอลเซนเตอร์หลอกลวงโอนเงิน มีทั้งเรื่องของเว็บที่เผยแพร่สื่อลามกอนาจาร ที่เนื้อหามาความเกี่ยวข้องกับหนึ่งในตัวละครหลักทีมแท็กซี่สายรุ้งอีกด้วย

พูดถึงส่วนของนักแสดงในรายของพระเอก อีเจฮุน ที่รับบทเป็น คิมโดกี เรื่องนี้ถือว่าทำออกมาได้ดีเลยนะ ทั้งในแง่ของการแสดงแล้วก็บทบาทแอคชั่น บางคนที่ยังไม่ได้ดูอาจจะคิดว่าบท คิมโดกี ไม่น่าจะมีอะไรซับซ้อน เพราะแสดงเป็นแท็กซี่ที่รับล้างแค้น แต่เอาเข้าจริงแต่ละเคสที่ คิมโดกี รับงานมา เขาต้องสวมรอยรับสารพัดบทบาท ทั้งนักธุรกิจ ครูสอนหนังสือ มาเฟียหนีคดี แล้วก็อัจฉริยะคอมพิวเตอร์ เรียกว่ามีสารพัดบทบาทและตัวตนให้ปลอมแปลง แถมเจ้าตัวยังเล่นใหญ่ทุกบทบาท

ส่วนนักแสดงนำอีกคนอย่าง อีซม ที่รับบทเป็นอัยการ คังฮานา ในช่วงแรกของซีรีส์ต้องบอกว่ากระแสออกมาไม่ค่อยดีเท่าที่ควร ด้วยคาแรคเตอร์อัยการรุ่นใหม่ที่มักจะทำอะไรมุทะลุ อีกส่วนหนึ่งในช่วงแรกแทบจะเรียกว่าได้แอร์ไทม์น้อยมาก ๆ ด้วย กว่าจะเข้าที่เข้าทางก็ในช่วงกว่าครึ่งเรื่องมาแล้วล่ะครับ ส่วนนี้ถ้าให้ผมคาดเดาคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องทิศทางของซีรีส์ แล้วไม่แน่ใจว่าการเปลี่ยนตัวนักแสดง (บทอันโกอึน) มีผลอะไรกับบทของเธอบ้างหรือเปล่า ในช่วงกลางซีซั่นยังมีข่าวว่าวิสัยทัศน์ของคนเขียนบทกับผู้กำกับไม่ตรงกันอีก ซีรีส์เลยมีการปรับเปลี่ยนคนเขียนบทจาก โอซังโฮ ในช่วงตอนที่ 1-10 มาเป็น อีจีฮยุน ในตอนที่ 11-16 แทน

ตั้งแต่ผ่านกลางเรื่องมาอัยการคังฮานาก็ดูมีบทบาทมากขึ้น ทิศทางของซีรีส์ก็ดูจะเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ตรงนี้แหละครับที่ผมจะพูดถึงว่า ซีรีส์พาตัวเองไปได้ไกลแค่ไหน แล้วก็ตั้งคำถามกับอะไร เพราะจากในช่วง 10 ตอนแรกที่ซีรีส์แฟนตาซีการล้างแค้นมาโดยตลอด แต่หลังจากตอนที่ 11 เป็นต้นมา ทิศทางของซีรีส์เริ่มให้ตัวละครทีมแท็กซีสายรุ่ง ตั้งคำถามกับวิธีการของตัวเองว่า การล้างแค้นที่พวกเขาทำอยู่มันใช่วิธีที่ถูกต้องหรือเปล่า เพราะเมื่อพวกเขารับจ้างแก้แค้น มันก็ย่อมสร้างความแค้นให้กับอีกฝ่าย หันกลับมาแก้แค้นพวกเขาเช่นกัน มันก็เท่ากับว่าจุดจบของการล้างแค้นมันไม่มีจริง เพราะผลลัพธ์ที่ได้ก็จะเป็นการล้างแค้นกันไปมาไม่จบสิ้น ซึ่งในส่วนของทิศทางซีรีส์ที่เปลี่ยนไป ผมคงจะไม่วิพากษ์อะไรว่าแบบไหนมันดีกว่ากันนะครับ แต่ละคนก็คงมีทัศนคติหรือวิธีคิดแตกต่างกัน ก็เลยแล้วแต่ว่าใครจะชอบแบบไหนจะพิสมัยการล้างแค้นหรือให้อภัยก็ตามนั้นเลยครับ

ก่อนจะเข้าช่วงท้ายรีวิวของแทรกข่าวดราม่าซีรีส์ ตั้งแต่ช่วงเริ่มถ่ายทำสักหน่อยก็แล้วกันครับ ซีรีส์มีการเปลี่ยนตัวนักแสดงทั้งที่ถ่ายทำไปได้กว่า 60% แล้ว โดยเปลี่ยนจาก ไอดอลนักแสดงอย่าง อีนาอึน ที่โดนอดีตไล่ล่าโดนกล่าวหาถึงพฤติกรรมสมัยเรียน ส่วนคนที่มาแทนก็เป็น พโยเยจิน รับบท อันโกอึน มือแฮกเกอร์ระบบประจำทีมแท็กซีสายรุ้ง ซึ่งเอาจริงจะว่าไปได้ พโยเยจิน มาแสดงนี่เคมีเข้ากับพระเอก อีเจฮุน ใช้ได้เลยนะครับ ส่วนตัวผมก็ชอบ พโยเยจิน มาตั้งแต่แสดงในเลขาคิมแล้วเหมือนกันครับ

ในช่วงท้ายรีวิวผมขอสรุปถึงซีรีส์เรื่องนี้ว่า เป็นซีรีส์ที่หากมองในแง่ความบันเทิงถือว่าตอบโจทย์ได้ดีเรื่องหนึ่งเลยล่ะครับ แล้วในแง่มุมของเนื้อหาสาระเอาจริง หากไม่มองว่าเป็นเรื่องความรุนแรงของการแก้แค้น แต่มองถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้ถูกกระทำ มันก็ถือว่าให้แง่คิดกับคนดูได้ครับ ส่วนในเรื่องของทิศทางซีรีส์ที่เปลี่ยนไปก็อย่างที่ผมบอกไปล่ะครับ มันก็แล้วแต่คนว่าใครจะพิสมัยการล้างแค้นหรือให้อภัย


#ReviewSeries #รีวิวซีรีส์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Review: Hi Venus (2022)

  Hi Venus (2022) บังเอิญพบรัก Screenwriter:   Wang Xiong Cheng Director:   Wang Zheng   รับชมทาง MONOMAX/ VIU       ลู่เจาซี (เจิงซุ่นซี) ห...