แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ รีวิวหนัง(Movie review) แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ รีวิวหนัง(Movie review) แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

Review: Juror 8 (2019)

 Juror 8 (2019) 8 คนพิพากษา

#ปีนรั้วรีวิว #Drama Director: Seung-wan Hong
      หนังเล่าถึงเรื่องราวในปี 2008 คิมจุนคยอม (So-Ri Moon) ผู้พิพากษาหญิงที่ได้รับมอบหมายให้ตัดสินคดีมาตุฆาต (ฆ่ามารดา) ผู้ที่ตกเป็นจำเลยในคดีก็คือคังดูซิค (Seo Hyun-Woo) ชายพิการที่อาศัยอยู่กับแม่ตามลำพังในคืนเกิดเหตุ ความพิเศษของการพิจารณาคดีนี้ก็คือการใช้คณะลูกขุน 8 คน ร่วมในการพิจารณาตัดสินคดีเป็นครั้งแรกของเกาหลี มันจึงกลายเป็น talk of the town ที่ประชาชนและสื่อมวลชนให้ความสนใจเป็นพิเศษ

แต่อีกด้านหนึ่งมันก็เท่ากับเป็นการโยนความกดดันให้กับ คิมจุนคยอม ที่ต้องพยายามรักษาภาพลักษณ์ขององค์กรเอาไว้ ไม่ให้เกิดดราม่าวุ่นวายระหว่างการพิจารณาคดี รวมทั้งคณะลูกขุนทั้ง 8 คน ที่พวกเขาจะต้องตัดสินชีวิตของคนคนหนึ่งเป็นครั้งแรกในชีวิต เพียงแค่เขียนคำตัดสินลงในกระดาษเท่านั้น ก็สามารถชี้เป็นชี้ตายให้กับคนคนหนึ่งได้แล้ว

แต่คำตัดสินที่น่าจะได้ผลสรุปอย่างง่ายดาย เมื่อหลักฐานของอัยการแน่นหนาจนมัดตัวผู้ต้องหา เสียงโหวตที่ต้องเป็นเอกฉันท์ 8 ต่อ 0 เท่านั้นจึงจะตัดสินคดีได้ กลับมี ควอนนัมอู (Hyung-shik Park) ลูกขุนหมายเลข 8 ที่ไม่สามารถตัดสินใจได้ เขาจึงอยากให้ทุกคนในห้องนั้นนั่งลงถกเถียงกันถึงหลักฐานอีกครั้งว่า คังดูซิค ควรจะมีความผิดจริงหรือไม่

วันจันทร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2568

Review: Survival Family (2016)

 Survival Family (2016) ครอบครัวเราต้องรอด

#ปีนรั้วรีวิว #Adventure #Family #Comedy Director: Shinobu Yaguchi
      หนังเล่าเรื่องราวของครอบครัวซูซุกิที่อาศัยอยู่ในโตเกียว หัวหน้าครอบครัวอย่าง โยชิยูกิ (Fumiyo Kohinata) เป็นมนุษย์เงินเดือน ที่ขยันขันแข็งตั้งหน้าตั้งตาทำแต่งาน ส่วนแม่บ้านอย่าง มิทสึเอะ (Eri Fukatsu) เป็นแม่บ้านเต็มเวลา ที่ออกจะไม่ค่อยถนัดกับงานบ้านสักเท่าไหร่ ยูอิ (Wakana Aoi) ลูกสาววัยมัธยมปลายที่พยายามตามแฟชั่นของเพื่อน และ เคนจิ (Yuki Izumisawa) ลูกชายคนโตหนุ่มมหาลัย ที่กำลังแอบชอบสาวเพื่อนร่วมชั้น ครอบครัว ซูซุกิ ที่ใช้ชีวิตคนเมืองอย่างปรกติสุขมาตลอด กลับได้เจอกับเรื่องท้าทายในเช้าวันหนึ่ง

เมื่อไฟฟ้าเกิดดับติดต่อกันเป็นเวลานานหลายวัน แล้วมันอาจจะไม่ใช่แค่การดับทั้งเมือง แต่อาจจะหมายถึงทั้งโลกด้วยซ้ำ จากที่เหตุการณ์เกิดขึ้นมาใหม่ ๆ ครอบครัว ซูซุกิ ยังสามารถ Romanticize ออกมายืนริมระเบียงกินลมชมดาวกันได้ แต่ยิ่งนานวันไปความลำบากจากการไม่มีไฟฟ้าใช้มันเริ่มส่งผลชัดเจนมากขึ้น หัวหน้าครอบครัวอย่าง โยชิยูกิ เลยตัดสินใจจะพาครอบครัวไปที่เมืองคาโกชิม่า ซึ่งเป็นบ้านของพ่อตา เพียงแต่มันจะไม่เป็นปัญหาอะไรเลยหากจุดหมายที่ว่า ไม่ได้อยู่ห่างไกลออกไป 900 กิโลเมตร

วันเสาร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2568

Review: One In A Hundred Thousand (2020)

 One In A Hundred Thousand (2020) ใจดวงนี้แสนรักเธอ

#ปีนรั้วรีวิว #Drama #Romance Director: Koichiro Miki
      ริโนะ ซากุรางิ (ไทระ ยูนะ) เด็กนักเรียนมัธยมปลายที่ใช้ชีวิตออกห่างจากผู้คน เพื่อนสนิทของเธอมีเพียง ชิฮิโระ ทาจิบานะ (มิโอะ ยูกิ) ซึ่งมีแฟนเป็นนักกีฬา เคนโด้ ของโรงเรียนอย่าง โช ฮินาเสะ (จิน ชิราสุ) แต่เหตุผลที่ทำให้ ริโนะ ติดสอยห้อยตาม ชิฮิโระ ไปสนามซ้อมเคนโด้บ่อยครั้ง ไม่ใช่เพียงแค่การตามเพื่อนไปนั่งเฝ้าแฟนเท่านั้น เมื่อ ริโนะ เองก็อยากเฝ้ามอง เร็น คิริทานิ (อลัน ชิราฮามะ) หัวหน้าชมรมเคนโด้คนที่เธอแอบชอบใกล้ ๆ

วันพุธที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2568

Review: The Brightest Roof in the Universe (2020)

 The Brightest Roof in the Universe (2020) หลังคาที่สว่างไสวในจักรวาล

#ปีนรั้วรีวิว #Family Director: Michihito Fujii
      หนังเล่าเรื่องราวของ สึบาเมะ โออิชิ (คายะ คิโยฮาระ) นักเรียนมัธยมปลาย เธออาศัยอยู่กับพ่อและแม่เลี้ยงที่กำลังตั้งท้อง สึบาเมะ มักจะแอบขึ้นไปนั่งเขียนจดหมายสารภาพความในใจถึง โทรุ อาซากุระ (เคนทาโร่ อิโตะ) เด็กหนุ่มนักดนตรีเพื่อนบ้าน บนดาดฟ้าของโรงเรียนสอนประดิษฐ์อักษรและวาดพู่กัน แต่ถึง สึบาเมะ จะเขียนมากมายหลายฉบับแค่ไหน เธอก็ไม่กล้าส่งให้เขาสักครั้ง จนในวันหนึ่งเธออดใจไม่ไหวเอาไปใส่ไว้ในตู้จดหมายหน้าบ้านของเขา แล้วในเช้าวันถัดไปแม้ สึบาเมะ จะเปลี่ยนใจก็ไม่ทันการ เมื่อจดหมายฉบับนั้นมันได้หายไปจากตู้แล้ว ตั้งแต่วันนั้นเธอก็เลยออกอาการทำตัวไม่ถูกเมื่ออยู่ต่อหน้า โทรุ

วันจันทร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2568

Review: Lying to Mom (2018)

Lying to Mom (2018) โกหกแม่กันเถอะ

#ปีนรั้วรีวิว #Drama Director: Katsumi Nojiri
      หนังเล่าเรื่องราวของ โคอิจิ (เรียว คาเสะ) ลูกชายคนโตของบ้าน ซูซุกิ เขาจมอยู่กับความทุกข์ใจและกลายเป็นฮิคิโคโมริ ไม่ยอมก้าวเท้าออกจากห้องมานานหลายปี แม้คนในครอบครัวจะพยายามให้ความช่วยเหลือ แต่เหมือนว่ามันจะไม่ได้ผล จนในที่สุด โคอิจิ ตัดสินใจจบชีวิตของตัวเองลง ซึ่งคนที่พบศพคนแรกไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น ยูโกะ (ฮิเดโกะ ฮาระ) แม่ที่คอยให้กำลังใจลูกชายคนนี้เสมอมา ทันทีที่เห็นลูกชายผูกคอตัวเองกับตู้เสื้อผ้า เธอรีบวิ่งลงมาในครัวเพื่อหยิบมีดในทันที แต่ภาพที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ยูโกะ กลับนอนนิ่งอยู่ตรงหน้าร่างของลูกชาย และข้อมือเต็มไปด้วยรอยกรีด

วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2567

Review: Inubu (2021)

 Inubu (2021)

#Drama Director: Tetsuo Shinohara
      โซตะ ฮานาอิ (Kento Hayashi) นักศึกษาสาขาสัตวแพทย์ปี 2 ที่รักสัตว์เป็นชีวิตจิตใจ ในอพาร์ทเมนท์ของเขาจะเต็มไปด้วยหมาแมวเร่ร่อน รวมถึงสัตว์อื่นที่บาดเจ็บเพื่อนำตัวมารักษา แล้วในวันหนึ่ง โซตะ ก็ได้เจอกับเรื่องท้าทายที่มีสาเหตุจากความรักสัตว์ของเขา เมื่อหมาที่เขาช่วยชีวิตไว้ตัวหนึ่งดันเป็นหมาของมหาลัย ซึ่งเตรียมไว้ให้นักศึกษาฝึกผ่าตัด แน่นอนว่าชะตากรรมของมันหลังจากนั้นก็คือการถูกการุณญฆาต

วันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2567

Review: Analog (2023)

 Analog (2023)

#Drama #Romance Director: Hideta Takahata
Writer: Takeshi Kitano (novel), Takehiko Minato
      ซาโตรุ มิซุชิมะ (Kazunari Ninomiya) นักออกแบบภายในที่เครดิตผลงานของตัวเองมักจะตกเป็นของเจ้านายบ่อยครั้ง เขามักจะนัดเพื่อนสนิทไปนั่งดื่มและพูดคุยที่เปียโน คาเฟ่ร้านประจำซึ่งเขาเป็นคนออกแบบด้วยตัวเอง ในวันที่นัดเพื่อนไปเจอกันเหมือนเช่นเคย ซาโตรุ ได้พบกับ มิยูกิ มิฮารุ (Haru) สาวสวยที่ชื่นชมงานออกแบบของ ซาโตรุ โดยเฉพาะห้องน้ำที่ออกแบบได้มีเอกลักษณ์ ส่วน ซาโตรุ เองก็สายตาเฉียบคมชื่นชมกระเป๋าที่ มิยูกิ ถืออยู่ซึ่งเป็นกระเป๋าแฮนด์เมดฝีมือของแม่เธอ

วันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2567

Review: Drawing Closer (2024)

Drawing Closer (2024) วาดรัก…จนกว่าจะหมดเวลา

#Drama #Romance Director: Takahiro Miki
Writer: Aoi Morita (novel), Tomoko Yoshida
      อากิโตะ ฮายาซากะ (Ren Nagase) นักเรียนมัธยมปลายที่เหมือนฟ้าฝ่าลงกลางหัว เพราะตอนนี้ที่แค่อายุสิบกว่าปีก็ได้รับข่าวร้ายว่าตัวเองป่วย เหลือเวลาใช้ชีวิตอีกเพียงแค่ 1 ปีเท่านั้น ในตอนที่กำลังยืนคิดทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นซ้ำไปมาบนดาดฟ้าโรงพยาบาล อากิโตะ ก็ได้พบกับ ฮารุนะ ซากุไร (Natsuki Deguchi) สาวน้อยที่กำลังนั่งวาดรูปอยู่ที่นั่น อากิโตะ ที่เดินเข้าไปทักทายจึงได้รู้ว่า ระยะเวลา 1 ปีของตัวเองดูจะมากเสียด้วยซ้ำ เมื่อเทียบ ฮารุนะ ที่เหลือเวลาเพียงแค่ 6 เดือน เธอกลับสดใสดูไม่เหมือนกับคนที่จะอยู่ได้อีกไม่นาน ทำให้ อากิโตะ ไม่กล้าบอกออกไปว่าตัวเองก็เหลือเวลาอีกไม่มากเช่นกัน จากวันนั้น อากิโตะ เลยกลายเป็นแขกเยี่ยมไข้ขาประจำของห้อง 231 ห้องผู้ป่วยของ ฮารุนะ

วันพุธที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

Review: #Alive (2020)

 #Alive (2020) คนเป็นฝ่านรกซอมบี้

Screenwriter & Director: Jo Il Hyung

      ตั้งแต่ทั่วโลกได้รู้จักกับ Train to Busan ก็ต้องบอกว่า ไม่มีอะไรมาหยุดยั้งความร้อนแรงของ K-Zombies ได้เลย เมื่อหนังซอมบี้สัญชาติเกาหลีใต้ที่สร้างออกมานั้น สามารถการันตีได้ในขั้นแรกเลยว่าจะทำออกมาสนุกตื่นเต้นแน่นอน เพราะหนัง K-Zombies นั้นนำเอาจุดเด่นของซอมบี้ยุคใหม่มาใช่เป็นแกนหลัก ที่มีความโหด ความรวดเร็ว โจมตีกันเป็นฝูง แถมยังไวต่อเสียงเรียกได้ว่าหากเหล่ามนุษย์ในหนังซอมบี้เกาหลีอยากจะมีชีวิตรอดล่ะก็ ต้องสับตีนแตกหรือไม่ก็เก็บตัวนิ่ง ให้เงียบที่สุดเท่านั้น

เช้าธรรมดาวันหนึ่งของ จุนอู (ยูอาอิน) เด็กหนุ่มที่ตัดสินใจโดดเรียนนั่งเล่นเกมอยู่ในอพาร์ทเมนท์ ต้องกลายเป็นวันที่เขาจะจดจำไปชั่วชีวิต เมื่อทั้งเมืองที่เขาอาศัยอยู่นั้น เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสลึกลับที่เปลี่ยนคนให้กลายเป็นซอมบี้ ด้านหนึ่งมันก็กลายเป็นความโชคดีในการโดดเรียนของ จุนอู ในคราวนี้ ที่ทำให้เขาไม่ต้องออกไปเผชิญหน้าเหล่าซอมบี้ แต่อีกด้านมันก็ทำให้เขาติดอยู่ในอพาร์ทเมนท์เพียงลำพัง ท่ามกลางเหล่าเพื่อนบ้านที่กลายเป็นซอมบี้กันไปหมดแล้ว

จุนอู ใช้ชีวิตผ่านไปแต่ละวันเพียงเพราะหวังว่าความช่วยเหลือจะมาถึง แต่ยิ่งเวลาผ่านไป จุนอู ก็เริ่มนึกถึงคำบ่นของแม่ ที่มักจะบอกให้เขาออกไปซื้อของมาตุนในตู้เย็น เมื่อในตอนนี้อาหารมันร่อยหลอลงไปทุกที ความหวังในการรอความช่วยเหลือก็ยิ่งลดลงไปทุกขณะ เมื่อดูเหมือนว่าในตอนนี้ ภายนอกก็กำลังเจอกับปัญหาเดียวกันหมด แล้วแบบนี้ จุนอู จะตัดสินใจอย่างไร จะไปตายเอาดาบหน้าหรือจะนอนรอจนกว่าความตายมันจะมาถึงคิวของตัวเอง

หนังซอมบี้จากเกาหลีอีกเรื่องหนึ่งที่ค่อนข้างมีกระแสความสนใจในไทย ซึ่งตัวหนังเรื่องนี้ผมก็ไม่รู้จะใช้คำอธิบายว่าอะไรดี คือหนังได้ไอเดียและ Matt Naylor มือเขียนบทมาจากหนังซอมบี้ฝรั่งเรื่อง Alone (2020) มันก็เลยมีอะไรคล้ายกันบ้าง ซึ่งตัวผมยังไม่เคยดูหนังเรื่อง Alone เต็ม ๆ มาก่อนเคยดูแต่ตัวอย่างหนังเท่านั้น เลยไม่ทราบว่ามันมีความแตกต่างหรือคล้ายกันจุดไหนบ้าง รีวิวนี้เลยจะขอกล่าวถึงเฉพาะหนังเรื่องนี้อย่างเดียวก็แล้วกันครับ

แน่นอนว่าจากที่เห็นในตัวอย่างทีแรก หลายคนคงพอดูออกว่าหนังไม่ได้คิดการใหญ่ ฉะนั้นใครที่ติดภาพฝูงห่าซอมบี้พุ่งเข้าโจมตีคนแบบใน Train to Busan และภาคต่อ Peninsula ก็ขอให้ลดความคาดหวังสเกลความใหญ่ความตื่นตาตื่นใจแบบนั้นได้เลยครับ เพราะหนังเรื่องนี้เน้นขายความลุ้นระทึก ตื่นเต้น จากข้อจำกัดของมนุษย์ในการเอาชีวิตรอด ไม่ว่าจะสถานที่ อาหาร การสื่อสารและระยะทาง ที่ตัวละครต้องฝ่าด่านซอมบี้ให้ได้เพื่อเอาชนะอุปสรรคที่ว่า 

ซึ่งหลังจากที่ผมดูจบบอกได้ว่าแม้ความสนุกตื่นเต้นมันจะไม่ได้พุ่งถึงขีดสุดอะไร แต่ถามว่าหนังทำได้ตามมาตรฐานหนังซอมบี้ที่สนุกซักเรื่องหนึ่งรึเปล่า ผมตอบได้เลยว่าหนังสนุกมีหลายฉากทำให้ลุ้นจนนั่งไม่ติด ในส่วนของซอมบี้ก็ดีไซน์ออกมาในแนวทางเดียวกัน กับใน Train to Busan ดูสยองขวัญ บิดเบี้ยว น่าขนลุกใช้ได้เลยครับ แล้วก็ แม้สเกลหนังจะเล็กแต่ในเรื่องเมคอัพเอฟเฟคของซอมบี้ ก็ออกมาดีไม่ไก่กา การออกแบบฉากจู่โจมของซอมบี้ ก็ทำได้ตื่นเต้นชวนให้คนดูเอาใจช่วยตัวละครได้ดีครับ 

ส่วนในเรื่องของนักแสดงในทีแรกที่เห็นแคส ยูอาอิน กับ พัคชินฮเย ผมก็คิดว่าหนังอาจจะเน้นขายความดราม่า เพราะเลือกนักแสดงสายนี้มารับบทนำ แต่เอาเข้าจริงแม้จะบอกได้ว่านักแสดงอย่าง ยูอาอิน จะทำออกมาได้ดีในส่วนของการแสดง แต่ด้วยข้อจำกัดเรื่องเวลาในหนัง มันก็น้อยเกินกว่าที่จะปูดราม่าให้ผู้ชมอินได้มากพอ ในส่วนดราม่าของหนังเลยบอกได้ว่ามันไปไม่สุด ด้วยข้อจำกัดเรื่องเวลาที่เป็นกำดักที่หนังสร้างขึ้นมาเอง แต่ส่วนที่ผมถูกใจ จะว่าถูกใจก็ไม่ใช่เสียทีเดียว เรียกว่าน่าสนใจคงจะใช่กว่าครับ กับเรื่องของคาแรคเตอร์ตัวละคร จุนอู ที่ ยูอาอิน รับบท และ ยูบิน ที่พัคชิยฮเย รับบทบาทนั้นครับ 

เมื่อหนังเลือกให้ จุนอู เป็นเด็กวัยรุ่นในแบบที่เรียกได้ว่า พร้อมจะสร้างวิกฤติซ้ำซ้อนให้กับตัวเองได้ตลอดเวลา เขาใช้ชีวิตอย่างไร้ความหมายผ่านไปวัน ๆ ไม่สนโลกไม่มีการวางแผนอะไร กระทั่งเกิดเหตุการณ์ซอมบี้ระบาดขึ้นมาก็แทบจะเรียกได้ว่า ไม่เหลือแรงบันดาลใจอะไรในการใช้ชีวิตเลย เมื่อต้องอยู่ตัวคนเดียว แต่พอได้เจอกับ ยูบิน ความหวังในการจะมีชีวิตอยู่ มันก็เลยกลับมาอีกครั้ง ตรงนี้ผมไม่แน่ใจนะว่าหนังจงใจสะท้อนชีวิตวัยรุ่นเกาหลีหรือเปล่า แต่ก็ดูมีแนวโน้ม เพราะว่าหนังเองก็เลือกหยิบเอากิมมิกของการสื่อสารในยุคปัจจุบันมาใช้ด้วย พร้อมทั้งแอบใส่ความตลกร้ายของเทคโนโลยีเข้ามาอีก อย่างตอนที่ จุนอู ไม่สามารถรับข่าวสารจากทีวีได้แล้ว เขาจำเป็นต้องฟังจากวิทยุแทน แต่เจ้ากรรมหูฟังสมัยนี้ดันเป็นแบบไร้สาย เลยไม่มีแจ็คเสียบกับช่องหูฟัง หรือการที่เครือข่ายโทรศัพท์ล่ม ก็จำเป็นต้องหันมาใช้วิทยุสื่อสารทดแทน การที่นางเอก ยูบิน มีสกิลการเอาชีวิตรอดได้ดีในช่วงเวลาคับขัน โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยี อะไรต่าง ๆ เหล่านี้ หากจะมองว่าหนังหยิบเอามาสะท้อน การใช้ชีวิตของคนในปัจจุบันมันก็คงพอมองได้ครับ

ยิ่งกับการที่หนังออกมาในช่วงโรคระบาด โควิด – 19 ด้วยแล้ว ความห่างระหว่าง จุนอู กับ ยูบิน มันยิ่งสะท้อนได้อย่างชัดเจนเลยว่า มนุษย์เรานั้นยังไงก็เป็นสัตว์สังคมที่ต้องอยู่ร่วมกัน ในขณะที่ยังมีคนล้อมรอบอยู่ จุนอู ก็ไม่ได้เห็นคุณค่าอะไรใช้ชีวิตมาลำพังคนเดียว แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องอยู่ตัวคนเดียวจริง ๆ แล้ว มันคนละเรื่องกันเลย เหมือนกับฉากที่มีแสงเลเซอร์จาก ยูบิน ยิงมาที่ตัวเขา นาทีนั้นความอยากตายมันก็หายไปจากหัวสมองเลย

สรุปแล้ว #Alive (2020) เป็นหนังซอมบี้ที่ผมบอกได้ว่าสนุก แต่อย่าคาดหวังเยอะเพราะหนังสเกลเล็กและเน้นขายข้อจำกัดของตัวละคร ในพาทดราม่าก็ทำออกมาได้ไม่สุด แต่ในภาพรวมถือว่าผ่านมาตรฐานหนังซอมบี้ที่ดูเพื่อความบันเทิง บวกด้วยประเด็นต่าง ๆ ในหนังที่ผมกล่าวไป แม้จะไม่ได้ขับเน้นออกมาชัดเจนจับต้องได้มากนัก แต่ก็ถือว่าเป็นส่วนที่แต่งแต้มสีสันความแปลกใหม่ให้กับหนังได้พอสมควรครับ


วันพุธที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2567

Review: My Favorite Girl (2020)

 My Favorite Girl (2020) เธอคนโปรด

#Comedy #Romance Screenwriter & Director: Tamada Shinya
      คาโตะ ยูสุเกะ (Watanabe Daichi) หนุ่มนักเขียนบทละครโทรทัศน์ ที่มีเพื่อนซี้เป็นสาวช่างภาพสุดติสต์อย่าง ซาเอกิ มิโฮะ (Nao) เขาและเธอมักใช้เวลาร่วมกันเสมอไม่ว่าจะกินข้าวเดินเล่นหรือนั่งดื่มด้วยกัน แม้ต่างฝ่ายต่างมีสถานะเป็นเพื่อนที่รู้ใจ แต่นอกจากการใช้เวลาเที่ยวเล่นสนุกไปด้วยกัน ทั้งสองคนก็แทบไม่มีอะไรร่วมกันเลย เพื่อนสนิทของทั้งสองคนต่างไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ของพวกเขา ความรู้สึกของ มิโฮะ คนภายนอกอาจมองได้ไม่ชัดเจน แต่ความรู้สึกของ ยูสุเกะ ไม่ว่าใครก็มองออกว่าเขาชอบเพื่อนสนิทคนนี้ แต่การกลัวจะสูญเสียมิตรภาพไปเลยทำให้ ยูสุเกะ ตัดสินใจขังตัวเองอยู่ในเฟรนด์โซน

หนังญี่ปุ่นที่พูดถึงความชอบที่มีต่อใครสักคน แต่กลับไม่มีความกล้าจะพูดออกไป อีกฝ่ายเลยกลายเป็นแค่คนโปรด ไม่ใช่คนรัก หนังไม่เชิงพูดถึงการพลาดจังหวะโอกาสในการสารภาพความรู้สึก แม้ตลอดทั้งเรื่องเราจะเห็นว่าทั้งสองคนสนิทสนมหยอกล้อกัน สายตาที่มีให้กันเหมือนจะแอบเกินเพื่อนสนิท แต่ฝั่ง มิโฮะ ก็ไม่ชัดเจนมากเท่ากับ ยูสุเกะ เลยเหมือนเป็นการเล่าเรื่องผ่านมุมมองของ ยูสุเกะ ฝ่ายเดียว

หากเราชอบใครสักคนแต่ติดอยู่ในสถานะไม่ชัดเจน คงสะดุดกับบางสถานการณ์ในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะตอนไปเที่ยวด้วยกันสองคนแล้วบังเอิญเจอเข้ากับคนรู้จัก ในสถานการณ์ที่เราต้องแนะนำอีกฝ่ายที่มาด้วยว่าเป็นใคร คือถ้าบอกว่าเป็นเพื่อนก็เหมือนโดดเข้าไปในเฟรนด์โซนทันที แต่จะแนะนำว่ามีความสัมพันธ์มากกว่านั้น แล้วอีกฝ่ายไม่คิด สถานการณ์ก็จะอึดอัดอีกแบบหนึ่ง

การที่เราอยากจะให้ของขวัญธรรมดาสักชิ้นยังต้องคิดแล้วคิดอีก เพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะตีความหมายของขวัญที่ว่าแบบไหน เหมือน ยูสุเกะ ที่ซื้อเค้กไปแสดงความยินดีในงานแสดงภาพถ่ายของ มิโฮะ แต่กลับไม่ให้เธอตั้งแต่เริ่มจนจบงานกลับบ้าน ต้องเดินถือถุงเค้กติดตัวตลอดเพราะไม่มีความกล้ามากพอ หรือฉากที่ต้องเดินกันสามคนแล้ว ยูสุเกะ ที่อยู่ในสถานะเพื่อน จะค่อย ๆ เดินช้าลงจนถอยห่างออกมาเรื่อย ๆ ที่สุดแล้วอีกอย่างหนึ่งคือมักจะกล้าพูดถึงความรู้สึกที่มีกับคนอื่น แต่ไม่กล้าพูดออกมาต่อหน้าที่คนชอบ

ผมชอบประเด็นของหนังนะ ส่วนหนึ่งเพราะบางสถานการณ์ในหนังมันทำให้นึกย้อนถึงเรื่องที่ลืมไปแล้ว ว่าเออครั้งหนึ่งเราก็เคยมีเพื่อนผู้หญิงคนโปรดอยู่เหมือนกันนะ คือนานมาก แล้วก็แค่ช่วงสั้น ๆ แค่นั้น ไม่ได้ติดต่อไม่ได้เจอกันนานมาก ตอนนี้ไม่ใช่แค่ไม่ใช่คนโปรดแต่คงจะเป็นคนแปลกหน้า เดินสวนก็คงจำกันไม่ได้กันไปแล้วล่ะ ฮ่าฮ่า

การเล่าเรื่องของหนังก็ตามสไตล์หนังนอกกระแส ไม่ค่อยมีเนื้อเรื่อง ใช้วิธีเล่าผ่านสถานการณ์ที่ตัวละครเจอ เพื่อสื่อสารของใจความของหนัง ถามว่าสนุกไหมบอกได้ว่าไม่สนุก แต่ก็มีเสน่ห์ตามสไตล์หนังนอกกระแส ในการดูรีแอคของตัวละครที่มันสื่อความหมายในฉากนั้น ตอนจบของหนังอาจจะชวนเหวอสักนิด เอาจริงก็พอตีความได้ไม่เกินสามทาง แต่ส่วนตัวคิดว่าด้วยอาชีพของ ยูสุเกะ ความเป็นไปได้จริง ๆ น่าจะเหลือแค่บทสรุปเดียว

#MovieReview #รีวิวหนัง

วันศุกร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2567

Review: A Nail Clipper Romance (2017)

 A Nail Clipper Romance (2017) 

Director: Jason Kwan

      หนังเล่าเรื่องเรื่องราวของ ฌอน (โจเซฟ ชาง) หนุ่มลูกครึ่งจีนอเมริกันชาวฮาวาย นักเซิร์ฟมือสมัครเล่นที่ใฝ่ฝันอยากเป็นช่างทำเซิร์ฟบอร์ด แต่เจ้าตัวก็คิดว่า หากอยากจะเอาดีในการทำบอร์ด เขาก็ต้องเล่นเซิร์ฟให้ประสบความสำเร็จเสียก่อน เพียงแต่ด้วยฝีมือที่อ่อนหัด มันทำให้เขาประสบอุบัติเหตุจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด เพียงแต่หลังหายจากอาการบาดเจ็บ เพื่อน ๆ ของ ฌอน ต่างคิดว่า เขาตั้งใจจะฆ่าตัวตายจากเรื่องความรักเสียมากกว่า จากอุบัติเหตุครั้งนั้นมันก็เลยทำให้ ฌอน ต้องกลับมานั่งทบทวนว่า เขายังจะไปต่อกับเส้นทางที่เลือกได้หรือเปล่า 

วันศุกร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2567

Review: Samjin Company English Class (2020)

Samjin Company English Class (2020)


#ปีนรั้วรีวิว #Comedy #Drama Director: Lee Jong-pil
      หนังเล่าเรื่องราวในปี 1995 อีจายอง (โกอาซอง), จองยูนา (อีซม) และ ชิมโบรัม (พัคฮเยซู) สามสาวเพื่อนซี้พนักงานบริษัทซัมจิน คอมพานี ทั้งสามคนทำงานมานานถึง 8 ปี ขยันขันแข็งเต็มที่ทุกอย่างเพื่อบริษัท แต่ทว่าพวกเธอและเพื่อนร่วมงานอีกหลายคนที่จบเพียงชั้นมัธยมปลาย กลายเป็นเพียงพนักงานระดับล่าง มีหน้าที่เพียงชงกาแฟ ถ่ายเอกสาร เดินแฟ้มล่าลายเซ็น แล้วก็ยืนฉีกยิ้มสวย ๆ ฟังประชุม โดยไม่สามารถออกความคิดเห็นอะไรข้ามหน้าคนในตำแหน่งสูงกว่าได้

วันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

Review: Birthday Card (2016)

Birthday Card (2016)

#ปีนรั้วรีวิว #Drama #Romance Director: Yasuhiro Yoshida
      โนริโกะ ซูซุกิ (ไอ ฮาชิโมโตะ) ผู้หญิงที่กำลังนั่งให้สัมภาษณ์กับใครบางคนอยู่ เธอเล่าย้อนไปถึงวัย 10 ขวบของตัวเอง ในช่วงประถม โนริโกะ เป็นเด็กเก็บตัวความสัมพันธ์กับเพื่อนในวัยเดียวกันไม่ดีนัก ยิ่งกับการถูกเพื่อนกดดันระหว่างการแข่งขันตอบปัญหาภายในโรงเรียน เธอเลยบอกกับตัวเองและใคร ๆ ว่า ชีวิตของเธอมีบทบาทเป็นเพียงตัวประกอบก็เพียงพอแล้ว ด้วยความเป็นแม่ที่ห่วงลูกสาว โยชิเอะ (อาโออิ มิยาซากิ) จึงเอ่ยปากไถ่ถามความรู้สึกของลูก แต่ โนริโกะ กลับย้อนถามว่า “แล้วแม่ล่ะ ที่เป็นอยู่ตอนนี้มันใช่ชีวิตที่ฝันไว้หรือเปล่า พอใจกับชีวิตตัวเองตอนนี้จริงหรือ” เล่นทำเอา โยชิเอะ เปิดตำราหาคำตอบให้กับลูกไม่ถูกเหมือนกัน

เพียงแต่ยังไม่ทันที่ โยชิเอะ จะหาคำตอบของคำถามนั้นมาให้กับลูกสาวได้ เธอก็ล้มป่วยด้วยโรคร้ายแรงที่รักษาไม่หายเสียก่อน ในช่วงสุดท้ายของชีวิต โยชิเอะ พยายามสร้างความทรงจำที่ดีกับสามี โชอิจิโร่ (ยูสุเกะ ซานตามาริอะ) ลูกสาว โนริโกะ และลูกชายคนเล็ก มาซาโอะ (ดคนตะ สุกะ) เพื่อให้คนในครอบครัวที่เหลือ สามารถเดินหน้าใช้ชีวิตต่อไปได้ โดยที่ โยชิเอะ ให้คำมั่นสัญญากับลูกสองคนว่า เธอจะส่งการ์ดอวยพรวันเกิดมาให้ทุกปี จนกว่าพวกเขาจะอายุครบ 20 ปี แม้ว่าเธอจะจากโลกใบนี้ไปแล้วก็ตาม

วันเสาร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2566

Review: BL Metamorphosis (2022)

 BL Metamorphosis (2022)

#Comedy #Life #Drama Director: Kariyama Shunsuke
      ยูกิ อิชิโนอิ (Nobuko Miyamoto) คุณยายวัย 78 ที่ใช้ชีวิตลำพังหลังจากสามีเสียชีวิต เธอมีงานอดิเรกเป็นครูสอนการประดิษฐ์อักษร คุณยาย ยูกิ ยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่ช่วยเยียวยาความเหงาได้ นั่นก็คือมังงะ เพียงแต่มังงะเล่มล่าสุดที่คุณยายยูกิถูกใจลายเส้น แล้วตัดสินใจหยิบติดมือมามันได้เปิดโลกใบใหม่ให้กับเธอ เพราะเนื้อหาด้านในมันเป็นเรื่องราวความรักของเด็กหนุ่มวัยมัธยมสองคน ซึ่งคุณยายยูกิก็ดูจะถูกอกถูกใจตื่นเต้นกับเนื้อหาที่แปลกใหม่ไม่น้อย

หลังจากอ่านจบเธอก็รีบกลับมาซื้อเล่มต่อไปทันที แต่ดูเหมือนคุณยายยูกิจะได้อารมณ์ค้างเพราะหนังสือขาดสต็อก อุราระ ซายามะ (Mana Ashida) นักเรียนมัธยมปลายที่ทำงานพิเศษในร้านขายหนังสือ เลยช่วยจัดแจงสั่งมังงะเล่มต่อไปและช่วยแนะนำมังงะ BL เรื่องอื่นให้ คุณยายยูกิที่อยากหาเพื่อนคุยเกี่ยวกับมังงะวายซึ่งเป็นโลกใบใหม่ของเธอ เลยออกปากชวน อุราระ ให้ไปนั่งคุยเป็นเพื่อนกันหลังเลิกงาน แม้ อุราระ จะแปลกใจที่คนสูงวัยอย่างคุณยายยูกิให้ความสนใจมังงะ BL แต่เธอที่เก็บซ่อนความชื่นชอบมังงะ BL จากคนรอบตัวมาตลอด ก็อยากหาเพื่อนคอเดียวกันพูดคุยแลกเปลี่ยนในสิ่งที่ชอบไม่ต่างกัน

วันอังคารที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

Review: It’s Your Fault That My Heart Beats (2021)

It’s Your Fault That My Heart Beats (2021)

#ปีนรั้วรีวิว #Romance Director: Hiroto Takahashi
      สึกาสะ ชิโนฮาระ (ชิราอิชิ เซย์) นักเรียนมัธยมปลาย ที่มักจะมีอะไรเข้ามาในชีวิตแบบจังหวะนรก เช่นเดียวกับ ฮายาโตะ อาริมะ (ฮิดากะ อุคิโช) หนุ่มหล่อเพื่อนร่วมห้อง ที่มักจะโผล่เข้ามาแก้ไขสถานการณ์ให้แบบที่เธอเองก็ไม่ทันตั้งตัว จน สึกาสะ แอบมโนไปว่าหนุ่มเพื่อนร่วมห้องคนนี้ก็มีใจให้กับเธอเหมือนกัน แต่เจ้ากรรมหลังจากที่ สึกาสะ ตัดสินใจสารภาพรักกับ ฮายาโตะ คำตอบที่ได้กลับมาก็คือเขาคิดกับเธอเพียงแค่เพื่อนเท่านั้น หลังจากนั้นไม่นาน สึกาสะ ก็ได้รู้ว่า ฮายาโตะ เคยคบกับ มายุ ฮาเซเบะ สมัยเรียนมัธยมต้น ซึ่งทั้งสองคนมีความหลังบางอย่างด้วยกัน ทำให้ ฮายาโตะ ไม่สามารถลบลืมอดีตได้

วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2566

Review: Honey Lemon Soda (2021)

Honey Lemon Soda (2021)

#ปีนรั้วรีวิว #Romance Director: Kôji Shintoku
      อุกะ อิชิโมริ (โยชิคาวะ ไอ) สาวมัธยมปลายที่มักถูกเพื่อนในโรงเรียนกลั่นแกล้ง สิ่งที่เธอทำได้ก็แค่เพียงเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นก้อนหิน พยายามไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับสิ่งเหล่านั้น ทั้งที่จริงแล้ว อุกะ ก็อยากมีเพื่อน อยากใช้ชีวิตวัยรุ่นไม่ต่างจากคนอื่น กระทั่งเธอได้พบกับ ไค มิอุระ (มุราคามิ ไมโตะ ราอูล) หนุ่มหัวทองสุดฮอตของโรงเรียน คนที่ช่วยฉุดเธอขึ้นมาให้มีความมั่นใจในตัวเอง อุกะ จึงติดสอยห้อยตาม ไค และยกให้เขาเป็นไอดอล แม้เธอจะบอกกับใคร ๆ ว่าไม่ได้คิดอะไรเกินเพื่อน แต่ลึก ๆ แล้ว อุกะ ก็เริ่มคาดหวังในความสัมพันธ์แบบคนรักขึ้นมาจริง ๆ เพียงแต่ ไค ก็มีความลับบางอย่างที่ทำให้เขาไม่อยากมองใครแบบคนรักอีก

วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

Review: Naoko (2008)

Naoko (2008)

#Drama #Sport Director: Tomoyuki Furuyama
นาโอโกะ ชิโนมิยะ (Nanami Fujimoto) ในวัย 12 ขวบเธอป่วยเป็นโรคหอบหืด พ่อและแม่จึงพาไปรักษาตัวบนเกาะแห่งหนึ่งเพื่อหลีกหนีมลภาวะ หลังจากอาการดีขึ้น นาโอโกะ และครอบครัวอาศัยเรือของ เคนสุเกะ อิคิ (Yasuhito Shimao) เพื่อเดินทางกลับเข้าฝั่ง เคนสุเกะ เป็นอดีตนักวิ่งมาราธอน ชายผู้เป็นต้นแบบของ ยูสึเกะ อิคิ (Daiki Sakai) ลูกชายของเขาที่อยากดำเนินรอยตามผู้เป็นพ่อ แต่ระหว่างที่เรือลอยลำอยู่กลางทะเล นาโอโกะ ประสบอุบัติเหตุตกเรือ ทำให้ เคนสุเกะ ตัดสินใจกระโดดลงไปช่วย แม้ นาโอโกะ จะกลับขึ้นเรือมาได้อย่างปลอดภัย ทว่า เคนสุเกะ ถูกคลื่นซัดจมหายไปต่อหน้าทุกคน จากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในวันนั้นทำให้ ยูสึเกะ กล่าวโทษ นาโอโกะ ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้พ่อของเขาต้องตาย

หลายปีผ่านไป นาโอโกะ (Juri Ueno) เรียนมัธยมปลายโรงเรียนในโตเกียว จะด้วยความรู้สึกผิดต่อ เคนสุเกะ หรืออะไรก็แล้วแต่ เธอตัดสินใจเข้าชมรมกรีฑาแม้โรคหอบหืดจะยังรักษาไม่หาย ในวันแข่งขันรอบคัดเลือกระดับมัธยม นาโอโกะ ซึ่งรับหน้าที่ฝ่ายลงทะเบียนนักกีฬา ได้พบกับชื่อที่ทำให้เธอหวนนึกถึงอุบัติเหตุในอดีตอีกครั้ง เมื่อ ยูสึเกะ อิคิ (Haruma Miura) ลูกชายของคนที่ช่วยชีวิตเธอ คือหนึ่งในนักกีฬาในการแข่งขันนั้น


หนังแนวกีฬาผสมดราม่าของพระเอกฮารุมะ มิอุระ กับ นางเอกจุริ อุเอะโนะ ซึ่งผมขอบอกก่อนเลยว่าเนื้อหาประมาณ 70-80% ของหนัง คือการแข่งขันวิ่งมาราธอนล้วน ๆ ฉะนั้นแล้วใครที่ยังไม่ได้ดูแล้วคิดจะดู ขอให้ทำใจไว้ล่วงหน้าเลยว่าเรื่องนี้ไม่ใช่แนวสร้างความบันเทิง หนังจะพาผู้ชมไปสำรวจชีวิตของสมาชิกในทีมวิ่งมาราธอน โดยจะโฟกัสไปที่ตัวละคร ยูสึเกะ ดาวเด่นของทีม นักวิ่งที่เริ่มมีชื่อเสียงตั้งแต่วัยมัธยม ส่วนตัวละคร นาโอโกะ อยู่ในสถานะเหมือนเป็นผู้สังเกตการณ์ ด้วยการทำหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมที่ต้องรีบมือกับสารพัดดราม่า

เนื้อหาของหนังเอาจริงไม่มีอะไรมาเล่าเท่าไหร่เลยครับ ปมดรม่าระหว่าง ยูสึเกะ กับ นาโอโกะ บางช่วงคนดูอย่างเราแทบจะลืมไปเลยว่ามีประเด็นนี้ด้วย เหมือนปมที่ว่าจะถูกคลี่คลายไปได้อย่างง่ายดาย เรื่องราวส่วนที่เหลือของหนังจึงค่อนข้างเป็นสูตรสำเร็จ ของหนังญี่ปุ่นแนวกีฬา ที่พูดถึงความพยายาม ความไม่เข้าใจ ขบเหลี่ยมกับระหว่างเพื่อนร่วมทีม ความแตกแยก และการกลับมาร่วมแรงร่วมใจกันอีกครั้ง แต่อาจด้วยความเป็นหนังเก่ามั้งครับ การเล่าเรื่อง วิธีการลำดับเรื่องราว มันเลยไม่ค่อยสนุก ดราม่าไม่ชวนอินเท่าไหร่

เพราะถ้ามาดูในปัจจุบันเราก็ผ่านการดูหนังในทำนองเดียวกันนี้มาไม่น้อยแล้ว ยกตัวอย่างไม่นานมานี้ผมเพิ่งดูก็ Yowamushi Pedal โอตาคุ น่องเหล็ก เนื้อหาแล้วก็สัดส่วนการเล่าเรื่องอะไรต่าง ๆ ใกล้เคียงกันเลยล่ะครับ เมื่อเน้นฉากการแข่งขัน ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมทีมคล้ายกัน ต่างกันแค่ โอตาคุ น่องเหล็ก ในมุมความบันเทิงก็ยังทำได้ดีด้วย

ในส่วนของนักแสดงแฟนนางเอก จุริ อุเอะโนะ อาจจะไม่ฟินเท่าไหร่นะครับ แม้ นาโอโกะ เหมือนจะเด่นเป็นชื่อหนังก็จริง แต่บทบาทที่เหมือนเป็นผู้สังเกตุการณ์ มันเลยออกไปทางสมทบชับพอร์ตเรื่องราวมากกว่า หนังจะให้น้ำหนักไปที่ตัวละคร ยูสึเกะ ของ ฮารุมะ มิอุระ เป็นหลัก ตัวละครนี้ต้องผ่านด่านอะไรหลายอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องการจัดการความรู้สึกต่อความสูญเสียในอดีต การจัดการกับทัศนคติบางอย่างของตัวเอง การเข้าใจความเป็นทีม เมื่อเพื่อนร่วมทีมไม่ใช่เพียงส่วนประกอบในการแข่งขันของเขา แล้วนอกจากสองพระนาง จุริ กับ ฮารุมะ แล้ว ในเรื่องนี้ยังมีนักแสดงหลายคนที่เห็นแล้วเกือบจำไม่ได้ก็มีนะครับ อย่าง โก อายาโนะ ในบท ซุซุมุ คุโรดะ นักวิ่งคู่ปรับลาสบอสของ ยูสึเกะ อีกคนก็ ไอมิ ซัทสึคาวะ ในบท ยูกิ โยชิซาวะ ผู้ช่วยผู้จัดการทีม แต่ทั้งสองคนก็แบบบทน้อยมาก ๆ อ่ะครับ

ในช่วงท้ายรีวิวผมขอสรุปถึงหนังเรื่องนี้ว่า หากให้พูดตรง ๆ หนังไม่ค่อยสนุกหรอกครับ ถามว่าหนังเหมาะกับใครคงจะเป็นแฟน ๆ ของ ฮารุมะ มิอุระ เพราะหนังโฟกัสที่เรื่องราวตัวละครนี้ค่อนข้างเยอะ เพียงแต่ถึงจะแสดงเป็นนักเรียนมัธยมก็จริง เราจะไม่ได้เห็น ฮารุมะ ใส่ชุดนักเรียนเลยครับ เพราะส่วนใหญ่จะได้ใส่ชุดวิ่งแทบตลอดทั้งเรื่อง ในแง่ของเสื้อผ้าหน้าผมอาจจะดูแปลกตาก็จริง แต่ในแง่การแสดงแล้วก็รอยยิ้ม ก็ยังคงเป็น ฮารุมะ ที่แฟน ๆ ประทับใจแหละครับ

ขอบคุณภาพประกอบจากภาพยนตร์: Naoko (2008)

วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2566

Review: You're Not Normal, Either (2021)

You're Not Normal, Either (2021) เธอก็ไม่ปกติเช่นกัน

#Drama Director: Koji Maeda
      คาสุมิ อากิโมโตะ (Kaya Kiyohara) นักเรียนมัธยมปลายที่ตั้งข้อสงสัยต่อสังคมรอบตัวว่า ทำไมเพื่อน ๆ ของเธอถึงเอาแต่นินทาแล้วก็พูดเรื่องไร้สาระถึงคนอื่น ต่างจากผู้ชายในฝันของเธออย่าง ไอซาโอะ มิยาโมโตะ (Kotaro Koizumi) นักธุรกิจหนุ่มที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับคนหนุ่มสาวยุคใหม่ แต่ผู้ฟังที่ไม่ดีอย่าง ยาสุโอมิ โอโนะ (Ryo Narita) ครูสอนพิเศษของเธอ ก็ดันเอาแต่ขัดคอแล้วก็ถามในเรื่องที่เธอตอบไม่ได้ จน คาสุมิ หลุดปากพูดออกมาว่าครู โอโนะ ที่หน้าตาดีแบบนี้ หากยังทำตัวไม่ปรกติต่อไปชาตินี้คงไม่ได้แต่งงาน นั่นเลยทำให้ โอโนะ ได้แต่สงสัยว่าตัวเองนั้นไม่ปรกติตรงไหน

ครูหนุ่มก็เลยขอร้องให้นักเรียนของตัวเองช่วยสอนการใช้ชีวิตปรกติ ซึ่ง โอโนะ ไม่ได้รู้มาก่อนเลยว่าตัวเองจะกลายเป็นเครื่องมือในแผนการล้มงานแต่งระหว่าง มิยาโมโตะ กับ มินาโกะ โทงาวะ (Rika Izumi) คู่หมั่นสาวสวย ที่ คาสุมิ ยุส่งให้ โอโนะ เลือกใช้เธอคนนี้มาเป็นคู่ซ้อมการออกเดตกับผู้หญิง

Review: Hi Venus (2022)

  Hi Venus (2022) บังเอิญพบรัก Screenwriter:   Wang Xiong Cheng Director:   Wang Zheng   รับชมทาง MONOMAX/ VIU       ลู่เจาซี (เจิงซุ่นซี) ห...