วันศุกร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2562

Museum (2016)

Museum (2016) พิพิธภัณฑ์สยอง
#ปีนรั้วรีวิว #Crime #Thriller Director: Keishi Ohtomo

      ฮิซาชิ ซาวามุระ (Shun Oguri) นักสืบที่ถูกเรียกตัวด่วนออกจากบ้านในวันฝนตก หลังจากมีคนพบศพหญิงสาวถูกฆ่าตายด้วยวิธีการพิสดาร อย่างการจับเธอมัดและปล่อยให้สนุข  ที่หิวโหยรุมกัดเธอจนตาย สภาพศพออกมาเละเทะอย่างสุดๆ จนแทบไม่สามารถระบุตัวผู้ตายได้ หลังจากการชันสูตร ซาวามุระ ได้รับแจ้งว่าเธอคือ อุเอฮาระ อาเคมิ และยังพบหลักฐานบางอย่างในตัวศพ นั่นก็คือกระดาษแผ่นนึงที่เขียนว่า “บทลงทัณฑ์อาหารสุนัข” ทำให้เขาเริ่มคิดแล้วว่า  นี่อาจจะไม่ใช่เหยื่อรายแรกและรายสุดท้ายแน่นอน 

      ซึซุมิ ยูอิจิ หนุ่มที่ไม่ทำงานทำการใช้ชีวิตไปวันๆด้วยการกิน นอน อ่านมังงะแล้วก็เล่นเกม เขาอาศัยอยู่กับแม่เพียงแค่สองคน ในคืนฝนตกหนักที่ ยูอิจิ อยู่เพียงลำพัง ได้มีชายสวมชุดกันฝนพร้อมด้วยหน้ากากมนุษย์กบ  บุกเข้ามาจับตัวเขาไปยังโกดังร้าง และฆ่าเขาด้วย “บทลงทัณฑ์ความเจ็บปวดของผู้เป็นแม่” นั่นก็คือการเฉือนเนื้อเขาทั้งเป็นตามน้ำหนักเมื่อแรกเกิด


      เมื่อเกิดคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง  ที่มีอะไรหลายอย่างคล้ายกันแบบนี้ ตำรวจจึงต้องเร่งทำงานแข่งกับเวลาก่อนที่จะมีเหยื่อเป็นรายต่อไป แต่สิ่งที่ทำให้นักสืบ ซาวามุระ แทบคลั่งพอได้ยินสิ่งที่เชื่อมโยงคดีทั้งสองเข้าด้วยกัน  เมื่อเหยื่อทั้งสองรายต่างเป็นลูกขุน ในการพิจารณาตัดสินประหารนักโทษ คดีฆาตกรรมเด็กหญิงคนหนึ่ง ด้วยการจับเธอสตาฟไว้ในแท่งเรซินขนาดใหญ่ แล้วเหตุผลที่ทำให้ ซาวามุระ ต้องตกใจก็คือ ฮารุกะ ภรรยาของเขาก็เป็นหนึ่งในลูกขุน  ที่พิจารณาคดีนั้นเช่นเดียวกัน และตอนนี้เธอเองก็กำลังหนีออกจากบ้านไปพร้อมกับ โชตะ ลูกชายของเขา ซึ่ง ซาวามุระ ไม่รู้ว่าตอนนี้ทั้งสองคนอยู่ที่ไหน

      เป็นหนังที่ต้องบอกว่าเกือบดีแล้วเชียว 40-50 นาทีแรกของหนัง  ถือว่าทำออกมาได้ติดตามแล้วก็สนุกเลยนะ ตอนนั้นนึกในใจเลยว่าเฮ้ยสนุกแน่นอนเรื่องนี้ แต่พอพ้นช่วงนี้ไปได้เท่านั้นแหละ อยู่ดีๆหนังก็ถอนคันเร่ง ดีกรีความสนุกมันก็สาละวันเตี้ยลงเรื่อยๆ ยิ่งเป็นหนังที่สร้างจากมังงะด้วย  พอมีจุดที่ Surreal ตามมังงะ ความน่าเชื่อถือของหนังมันก็ดรอปลง  ด้วยการที่คงดีไซน์หลายๆฉากออกมาตามมังงะ และจุดเฉลยหลายจุดที่มันโปะ  เฉลยง่ายเกินไปไม่มีอิมแพคกับคนดู

      อย่างเช่นฉากวิ่งไล่เจ้าฆาตกรมนุษย์กบ  ที่พี่แกไวเหมือนหายตัวได้  เดี๋ยวไปโผล่ตรงโน้นทีโผล่ตรงนี้ที แถมฉากต่อเนื่องที่ ซาวามุระ ได้เผชิญหน้ากับฆาตกรโดยมีตัวประกันเป็นตัวแปรการตัดสินใจ แล้วเขาปล่อยให้ฆาตกรหลุดมือ  มันยิ่งทำให้หนังดูน่าเชื่อถือน้อยลงไปอีกในฉากนั้น กับหนังทั่วไปเราก็จะได้เห็นซีนแบบนี้บ่อยนะ  ในการเผชิญหน้ากันระหว่างตัวเอกและคนร้าย ที่ต้องตัดสินใจโดยมีตัวประกันเป็นข้อต่อรอง แต่กับเรื่องนี้มันไม่ใช่อะ ฮ่าฮ่า ซีนในหนังมันจริงจังนะ  แต่ทำไมเราดูแล้วมันกลับกลายเป็นความตลกแทนก็ไม่รู้  แต่หลังจากที่ออกทะเลอยู่พักนึง  หนังก็กลับมาเข้าฝั่งได้เอาช่วง 10 กว่านาทีสุดท้ายก่อนจะจบ ซึ่งทำออกมาได้ดี ตึงเครียด แล้วก็กดดันกับทางเลือกที่ ซาวามุระ ต้องตัดสินใจ 
      ส่วนตัวมองว่าหากหนังลดเวลาของตัวเองลงซัก 20-30 นาที(ความยาวหนัง 2 ชั่วโมง 12 นาทีเลยครับ)ทำให้เรื่องราวกระชับขึ้น แล้วก็เฉลยปมต่างๆให้มีอิมแพคกว่านี้หน่อย  หนังจะสนุกขึ้นอีกเยอะเลย เพราะช่วงต้นของหนังทำมาดีอยู่แล้ว แต่พอปมต่างๆที่เฉลยออกมา  มันดันไม่เกี่ยวข้องกันอย่างที่คิดในตอนแรก แถมจุดประสงค์ ปมของเรื่องราว หรือแบล็คกราวน์ของฆาตกร ก็คลุมครือไม่มีอะไรชัดเจนมันเลยพาเนื้อหาดรอปไปหมด ทั้งที่ ซาโตชิ ซึมะบุกิ ที่เล่นเป็นฆาตกรมนุษย์กบก็แสดงได้ดีนะ

      แต่ด้วยความที่หลายๆฉากช่วงต้น  เจ้าตัวต้องใส่หน้ากากตลอดเวลา ทำให้ยังไม่ได้โชว์ฝีมือเท่าไหร่  แต่หลังจากที่ถอดหน้ากากแล้ว ถือว่าทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีเลยล่ะ ส่วนปมของฝั่งตัวเอกอย่าง ซาวามุระ ก็เป็นเรื่องดราม่าหลักประจำของเจ้าหน้าที่ตำรวจ อย่างการที่เขาบ้างานจนไม่มีเวลาให้กับครอบครัว  เมียก็เลยหอบผ้าหอบลูกหนีออกจากบ้า

      สรุปแล้ว Museum (2016) พิพิธภัณฑ์สยอง เป็นหนังที่ช่วงต้นของหนังทำได้ดีน่าติดตาม แต่ช่วงกลางจนถึงก่อน 15 นาทีสุดท้ายทำหนังกร่อยลงไปเยอะ ก่อนที่ไคล์แมกซ์ตอนจบของหนังจะแก้ตัวกลับมาสนุกขึ้นอีกครั้ง


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Review: #Alive (2020)

 #Alive (2020) คนเป็นฝ่านรกซอมบี้ Screenwriter & Director:   Jo Il Hyung       ตั้งแต่ทั่วโลกได้รู้จักกับ Train to Busan ก็ต้องบอกว่า ไม...