วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2564

Review: How Long Will I Love U (2018)

 How Long Will I Love U (2018) อีกนานแค่ไหนที่ฉันจะได้รักคุณ

#ปีนรั้วรีวิว #Romance Director: Su Lun
      ในปี 2018 กูเสี่ยวเจียว (Liya Tong) สาวนายหน้าขายบ้านวัย 30 ปี เธอยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองขายบ้านได้ ไม่เว้นกระทั่งนัดบอดผู้ชายรวย ๆ เพื่อหว่านล้อมให้เขาซื้อบ้านของเธอ หรือต่อให้ต้องยอมแต่งงานเพื่อให้ขายบ้านได้ก็ตาม แต่จนแล้วจนรอดเธอก็ไม่เคยขายบ้านออกสักหลัง แถมผู้ชายนัดบอดคนล่าสุดของเจ้าตัวยังเป็นพวกนักต้มตุ๋น ทำให้ เสี่ยวเจียว นอกจากจะไม่ได้เงินแล้ว ยังโดยผู้ชายเชิดเงินเก็บของเธอไปอีกด้วย เธอจึงหอบหิ้วเอาร่างกายและหัวใจอันบอบช้ำกลับมายังห้องนอนของตัวเอง

ในปี 1999 ลู่หมิง (Jiayin Lei) นายหน้าขายที่ดินที่ไม่เคยขายที่ได้ เขาบังเอิญไปแอบได้ยินเพื่อนร่วมงานวางแผนโกงบริษัท ด้วยความที่เจ้าตัวเป็นคนหัวอ่อนจึงไม่กล้าบอกสิ่งที่ได้ยินมากับใคร แต่เนื่องจากตัวเองไม่เคยทำงานสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันเลย เจ้านายเลยตัดสินใจที่จะไล่เขาออกจากงาน ลู่หมิง ที่จนหนทางจึงบอกสิ่งที่ได้ยินมาให้กับเจ้านายฟัง แต่แทนที่นายจะเชื่อเขากลับโกรธและคิดว่า ลู่หมิง นั้นใส่ความเพื่อนร่วมงานเพื่อเอาตัวรอด ลู่หมิง จึงมีโอกาสได้ทำงานที่นั่นอีกเพียงสองอาทิตย์เท่านั้น เขาจึงเดินคอตกกลับห้องพักด้วยความท้อแท้เหนื่อยหน่ายกับชีวิต
เรื่องราวประหลาดมันได้เริ่มขึ้นในคืนนั้น เมื่อ เสี่ยวเจียว ที่อยู่ในปี 2018 ตื่นขึ้นมาบนเตียงเดียวกับ ลู่หมิง ที่อยู่ในปี 1999 เพียงแต่มันไม่ใช่ว่าทั้งสองคนหรือใครคนใดคนหนึ่งข้ามเวลาไปหากัน แต่เป็นการที่ห้องนั้นกลายเป็นจุดเชื่อมของสองห้วงเวลาเข้าด้วยกัน

เมื่อทั้งสองคนเปิดประตูห้องของ ลู่หมิง ก็จะสามารถออกมายังปี 1999 ได้ และเมื่อ เปิดประตูห้องของ เสี่ยวเจียว ทั้งสองก็จะออกมายังปี 2018 เช่นกัน แต่การที่ทั้งสองคนเชื่อมต่อกันผ่านห้วงเวลา มันก็ทำให้ได้รู้ว่าบางทีตัวเราในอดีตหรืออนาคต อาจจะไม่ใช่เราในปัจจุบันเสมอไป
      หนังจีนที่ไอเดียดีเลยนะ แต่ผลที่ได้ออกมายังไม่สุดเท่าไหร่ ประเด็นการสื่อสารยังไม่คม ไม่ชัดเจน ความสัมพันธ์ตัวละครระหว่าง ลู่หมิงกับเสี่ยวเจียว นี่ยิ่งแล้วใหญ่ ไม่อินเลย แทบมองไม่ออกเลยว่าสองคนไปรักกันตอนไหน แต่ที่ผมถูกใจคือประเด็นเรื่องตัวตนในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เพราะมันไม่แน่ว่าตัวเราอาจจะไม่ใช่คนเดิมคนเดียวกันเสมอไป

การดำเนินเรื่องของหนังก็ดำเนินตามสูตรหนังข้ามเวลา ที่จะหยิบเอากิมมิกต่าง ๆ ของห้วงเวลานั้นมาเป็นสีสัน อย่าง เสี่ยวเจียวสาวในปี 2018 ก็ตื่นเต้นกับเทปคาสเซ็ต กับร้านรวงเก่า ๆ ที่เป็นประสบการณ์ในวัยเด็ก ลู่หมิง ก็ตื่นเต้นกับสิ่งแปลกใหม่ที่ตัวเองไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่ว่าจะสมาร์ทโฟน เครื่องดูดฝุ่นอัตโนมัติ หรืออุปกรณ์ทันสมัยต่าง ๆ ที่ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน แต่ส่วนตัวถือว่ายังหยิบเอาลูกเล่นพวกนี้มาใช้ในหนังน้อยนะ มีแค่ช่วงแรกนิดเดียวเท่านั้นเอง

ก่อนที่ต่อมาหนังให้ตัวละครใช้เงื่อนไขความต่างของเวลา พยายามแก้ไขเรื่องราวของตัวเอง เสี่ยวเจียว ก็ต้องการแก้ไขเรื่องราวในอดีต เรื่องราวร้าย ๆ ที่เกิดขึ้นในตอนนั้น มันทำให้เธอมีชีวิตอย่างยากลำบากและไม่มีใครอย่างในทุกวันนี้ ลู่หมิง ก็พยายามใช้อนาคตที่เกิดขึ้นมาแล้ว เป็นข้อได้เปรียบกลับไปแก้ไขให้โชคชะตาหันมาเข้าข้างตัวเองบ้าง แต่ว่าทั้งสองคนจะแก้ไขสำเร็จไหมไม่สปอยก็แล้วกัน ฮ่าฮ่า

เมื่อหนังเล่าการผ่านห้วงเวลาไปยังอดีตหรืออนาคต ไม่รู้ใครเคยลองคิดเล่น ๆ ไหมนะว่า ตัวเราในตอนนี้กับตัวเราในอดีตหรืออนาคต จะยังเป็นคนคนเดียวกันอยู่หรือเปล่า เมื่อแต่ละช่วงเวลาที่ชีวิตเราดำเนินผ่านพ้นไป มันก็ทำให้เราผ่านประสบการณ์มากมาย ที่อาจจะหล่อหลอมเราเป็นคนใหม่

อาจจะเป็นคนที่ดีขึ้นหรืออาจจะเป็นคนที่เลวร้ายลงก็ได้ เหมือนกับชีวิตที่เคยดีของ เสี่ยวเจียว ในอดีตที่สวนทางกับปัจจุบัน และชีวิตของ ลู่หมิง ที่อนาคตนั้นรุ่งโรจน์สวนทางกับในอดีตเหลือเกิน แต่ทุกอย่างมันมีที่มาที่ไปและแน่นอนว่า เรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นกับทั้งสองคนคงมีเหตุผลอะไรบางอย่างแน่นอน

      สรุปแล้ว How Long Will I Love U (2018) อีกนานแค่ไหนที่ฉันจะรักคุณ เป็นหนัง โรแมนติก คอมเมดี้ ข้ามเวลา ที่พล็อตดีนะ ความเป็นคอมเมดี้ก็ถือว่าได้ผล ยังสนุกฮาไปกับหนังในบางฉากได้ แต่การเล่าเรื่องยังทำได้ไม่ดีเท่าไหร่ ส่วนตัวผมเองยังไม่อินกับความรักของทั้งคู่ จะชอบพาทชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปของ ลู่หมิง มากกว่า รวม ๆ ก็ยังให้ผ่านแต่อย่าไปคาดหวังมากนักก็แล้วกันครับ
 
ฝากช่องยูทูปรีวิวหนังช่องเล็ก ๆ ด้วยครับผม:  https://www.youtube.com/channel/UCo1Txn08XONf92m_kngztWQ 
 
ขอบคุณภาพประกอบจากภาพยนตร์: How Long Will I Love U (2018) Beijing Enlight Pictures

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Review: #Alive (2020)

 #Alive (2020) คนเป็นฝ่านรกซอมบี้ Screenwriter & Director:   Jo Il Hyung       ตั้งแต่ทั่วโลกได้รู้จักกับ Train to Busan ก็ต้องบอกว่า ไม...