วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

Review: You Raise Me Up (2021)

 You Raise Me Up (2021)

#Drama #Comedy Director: Kim Jang-Han
 
รับชมได้ทาง TrueID
      โดยองชิก (ยุนชียุน) หนุ่มวัย 31 ที่ชีวิตล้มเหลว ครั้งหนึ่งเขาเคยมีชีวิตรุ่งโรจน์เป็นประธานนักเรียนมาตลอด แต่ปัจจุบันเขากลายเป็นคนตกงาน เป็นได้เพียงพนักงานชั่วคราวเสิร์ฟอาหารค่าแรงวันละไม่กี่บาท ความพยายามเดียวที่ยังหลงเหลือและทำมาตลอดหลายปี คือการสอบบรรจุเข้ารับราชการ แต่ไม่ว่าจะทำมากี่ครั้งมันก็ยังไม่สำเร็จ ยองชิก ถูกเพื่อนในวัยเดียวกันพูดจาถากถางต่าง ๆ นา ๆ จนนานวันเข้าเขาก็กลายเป็นคนดูถูกตัวเอง แต่เรื่องใหญ่ในชีวิตผู้ชายทุกคนที่คงไม่มีใครอยากให้มันล้ม เห็นจะเป็น ยองชิกน้อย ที่ปัจจุบันมันไม่ผงาดง้ำค้ำโลกเสียแล้ว เขาเลยคิดว่าไม่ว่าอะไรในชีวิตจะล้มเหลวแต่ ยองชิกน้อย จะล้มไม่ได้อันขาด โดยองชิก เลยตัดสินใจเดินเข้าคลินิกรักษาอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ แต่เจ้ากรรม อีลูดา (ฮานี) หมอสาวที่เพิ่งเอานิ้วแหย่ก้นเขาเพื่อตรวจต่อมลูกหมาก ดันเป็นรักครั้งแรกสมัยเรียนมัธยมที่มองเขาเป็นฮีโร่มาโดยตลอด

      ซีรีส์เกาหลีจำนวน 8 ตอนที่ออกจะแหวกแนวซีรีส์เกาหลีอยู่เหมือนกันนะครับ เพราะปรกติแล้วพล็อตแนว Loser หรือคนขี้แพ้ในสังคม เราจะไม่ค่อยเห็นงานทำนองนี้จากฝั่งเกาหลีเท่าไหร่ แต่หากเป็นฝั่งญี่ปุ่นล่ะก็ ต้องบอกว่าเยอะเอามาก ๆ ส่วนซีรีส์ You Raise Me Up ผมว่านำเสนอออกมาได้ดีเลยนะ แล้วก็ยังถ่ายทอดออกมาในสไตล์เกาหลีที่เน้นดราม่า ปนตลก โอเคว่าพล็อตแบบนี้ไม่ใช่ทุกคนที่อิน ถึงอย่างนั้น ใจความของซีรีส์ก็จัดว่าดีงามทีเดียวครับ


ซีรีส์พูดถึง โดยองชิก ที่เคยมีเป้าหมายมีความมั่นใจในตัวเอง แต่จากความล้มเหลวบนความคาดหวังหลายครั้ง มันก็ทำให้เขากลายเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเอง พอจิตใจเริ่มบั่นทอนมากเข้า ก็เลยส่งผลต่อร่างกายทำให้นกเขาไม่ขัน ตรงนี้ถือว่าซีรีส์จี้จุดเลยนะ เหมือนจะบอกกลาย ๆ เลยว่า ท่านชายทั้งหลายอย่าคิดลบบั่นทอนความรู้สึกตัวเองนัก เดี๋ยวน้องชายจะใช้การไม่ได้แบบไม่รู้ตัว เรียกว่าเป็นซีรีส์ที่ทั้งปลอบทั้งขู่ในคราวเดียวกัน

ซีรีส์ที่สะท้อนบุคลิกของคนที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ออกมาได้ชัดมากเลยล่ะครับ อย่างตัวเองผมก็เป็นคนที่ค่อนข้างไม่มีความมั่นใจเหมือนกัน หลายฉากหลายซีนมันเลยเดจาวูกับตัวเอง อย่างการพยายามหาข้อแก้ตัวให้กับตัวเอง ในการลงมือทำหรือไม่ทำอะไร การผลักไสหรือปฏิเสธบางสิ่ง ทั้งที่ใจจริงก็อยากได้ แต่กลับคิดว่าไม่เหมาะกับตัวเอง ซึ่งตัวละคร โดยองชิก ต้องพยายามหาทางสร้างความมั่นใจให้ตัวเอง พยายามกลับมาเป็นคนคิดบวก ไม่หาข้ออาจที่จะทำหรือไม่ทำอะไรให้ได้ หากพูดอย่างเดียวมันเหมือนจะง่ายใช่มั้ยล่ะครับ แต่มันก็เป็นเรื่องของทัศนคติ ที่ไม่ได้เปลี่ยนกันง่าย ๆ ภายในวันสองวัน

ตลอดทั้ง 8 ตอนของซีรีสื แม้จะดูเหมือนอยู่ในธีมตลอกโปกฮา แต่เอาจริงหากใครดูแล้วอินจะมีฉากให้เสียน้ำตาทุกตอนเลยครับ ซีรีส์จะพาไปสำรวจภาวะจิตใจของ โดยองชิก ความกดดันต่าง ๆ นานา ที่เขาเจอ ทั้งจากคนรัก ความคาดหวังจากครอบครัว คำพูดเย้ยหยันจากปากเพื่อน ที่มันยิ่งกดเขาต่ำลงเรื่อย ๆ จนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ การได้มาเจอกับ อีลูดา ความรักครั้งแรกสมัยเรียนมัธยมในสภาพเหมือนศพเดินได้ มุมหนึ่งจะว่าน่าอายก็คงพูดได้ แต่ในมุมหนึ่งหากจะมีคนที่ฉุด โดยองชิก ขึ้นมาได้ ก็คงจะเป็นคนที่เคยเป็นแรงบันดาลใจให้กับเขามาก่อน

ซีรีส์บอกอย่างชัดเจนว่าคนที่สำคัญที่สุดในการฟื้นคืน กลับมาลุกขึ้นยืนอีกครั้งก็คือตัวเอง หลายครั้งซีรีส์ทำให้เห็นว่า หลังจากที่ โดยองชิก ตัดสินใจเดินหน้ารักษาตัวเอง ไม่ว่าเขาจะพบเจอกับความผิดหวังกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เขาก็มองเพียงแค่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่ ขอให้ตัวเองได้หายดีเป็นปรกติก็พอ ซีรีส์ก็ยังชี้ให้เห็นอีกว่า คนที่คอยอยู่เคียงข้าง เป็นแรงสนับสนุนสร้างแรงบันดาลใจก็สำคัญไม่น้อยกว่ากัน อย่างที่คนดูจะได้เห็นตลอดทั้งเรื่อง รวมถึงในช่วงท้ายที่มีตัวละครเสริมในพาทนี้เข้ามา

นอกจากพล็อตดราม่าหลักที่เป็นเรื่องปมชีวิตของ โดยองชิก ซีรีส์ยังมีพล็อตรักสามเส้าระหว่าง โดยองชิก รักแรกอย่างอีลูดา แล้วก็หมอจิตเวชอย่างโดจีฮยอก (พัคกีอุง) คนรักคนปัจจุบันของ อีลูดา ตลอดการดำเนินเรื่อง สถานการณ์ออกได้ทุกหน้าเลยนะครับในพาทนี้ แต่ก็ต้องบอกว่าไม่มีดราม่าหนักหน่วงอะไร แม้ตัวละครจะแอบมีความเห็นแก่ตัวในเรื่องความรักบ้าง แต่ก็ไม่ถึงขนาดทำอะไรเลวร้ายยังใช้เหตุผลแล้วก็ตรงไปตรงมากันพอสมควร

แม้จะเป็นซีรีส์ที่ค่อนข้างนอกกระแส แต่หลังจากดูจบผมว่าเป็นเรื่องหนึ่งที่ควรค่าแก่การดูเลยล่ะครับ โอเคว่าหลายคนอาจจะไม่ได้มีปัญหาเรื่องความมั่นใจในตัวเอง ถึงอย่างนั้นเนื้อหาของมันก็เหมือนเตือนสติในเวลาที่เรา อาจเผลอคิดอะไรบั่นทอน หรือหาข้อแก้ตัวในการไม่เผชิญหน้าปัญหา ผมว่าแทบทุกคนก็คงจะมีบ้างแหละเวลาที่ทำอะไรไม่สำเร็จ แล้วรู้สึกเหนื่อยท้อแท้ ซึ่งในท้ายที่สุดซีรีส์ก็บอกว่า คนเราก็ไม่จำเป็นต้องสู้สุดในทุกยก หรืออาจจะมีบางครั้งที่สูญเสียความมั่นใจไปบ้าง เราก็แค่หาที่ยืนที่เหมาะกับเรา ที่ได้มั่นใจในการเป็นตัวเอง บางทีล้มเหลวในการทำสิ่งหนึ่ง มันก็อาจทำให้ค้นพบอีกสิ่งหนึ่งที่เหมาะกับตัวเองก็ได้ สุดท้ายแล้วมันก็ขึ้นอยู่กับทัศนคติที่เราจะมองมันเท่านั้นเอง

หากให้สรุปในตอนท้ายผมคงจะบอกว่า เรื่องนี้เป็นซีรีส์ที่หน้าหนังเหมือนจะตลก เอาจริงค่อนข้างดราม่าหนักหน่วงไม่น้อยเลยล่ะครับ ส่วนใครคิดว่าจะมีฉากเซ็กซี่อะไรเยอะ ผมขอบอกว่าไม่มีเลยล่ะครับ แต่หากอยากดูเอาสาระผมว่า เรื่องนี้ได้เต็ม ๆ แน่นอนครับ
 
ขอบคุณภาพประกอบจากซีรีส์: You Raise Me Up (2021)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Review: All of Us Are Dead (2022)

 All of Us Are Dead (2022) มัธยมซอมบี้ Screenwriter:  Chun Sung Il Director:  Lee Jae Gyoo       ซีรีส์เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโรงเรียนมัธ...