วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

Review: Misty (2018)

 Misty (2018) คดีเล่ห์ลวงรัก

#Drama Director: Mo Wan-Il
 
รับชมได้ทาง Netflix/ 

iQIYI 


      ซีรีส์เล่าเรื่องราวของ โกฮเยรัน (คิมนัมจู) ผู้ประกาศข่าวสาวดาวค้างฟ้า ที่ประสบความสำเร็จตลอดระยะเวลาที่ทำงาน เธอคว้ารางวัลผู้ประกาศมาครอบครองได้อีกครั้ง แต่ในปีล่าสุดไม่เพียงแค่รางวัลประดับบารมีของเธอจะเริ่มสั่นคลอนเท่านั้น เมื่อ ฮันจีวอน ผู้ประกาศข่าวรุ่นน้องที่กำลังมาแรงไล่หลังมาติด ๆ เริ่มพยายามฉายแสงแข่งกับเธอทั้งบนเวทีประกาศรางวัลและโพเดี้ยมผู้ประกาศข่าว ผู้บริหารเริ่มมองหาหนทางที่จะเขี่ย โกฮเยรัน ออกไปเพื่อดัน ฮันจีวอน ขึ้นมาแทนที่


เพียงแต่ โกฮเยรัน ก็พยายามดิ้นรนอย่างหนัก เพื่อรักษาหน้าที่การงานของตัวเอง หนทางเดียวที่จะทำได้ก็คือ เธอต้องตามหาตัว เควิน ลี (โกจุน) โปรกอล์ฟสัญชาติเกาหลี ที่เพิ่งคว้าแชมป์ระดับเมเจอร์หมาด ๆ มาสัมภาษณ์ให้ได้ เพียงแต่ ฮเยรัน คงไม่คิดว่าแรงขับจากการอยากเอาชนะนั้น มันจะทำให้เธอ ตกหลุมพรางเรื่องราวในอดีตที่ไม่สามารถก้าวข้ามไปได้ แล้วมันยังทำให้เธอต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรม ที่นักสืบอย่าง คังกีจุน เห็นเธอเป็นผู้ต้องสงสัยเพียงหนึ่งเดียว แม้คดียังไม่ชัดเจนเลยว่าจะเป็นการฆาตกรรม ซึ่งคน ๆ เดียวที่คอยอยู่เคียงข้าง โกฮเยรัน และช่วยเหลือ ไม่ว่าเธอจะบริสุทธิ์จริงหรือไม่ก็คือ คังแทอุค (จีจินฮี) ผู้เป็นสามีและทนายความ ที่ยืนหยัดต่อสู้เพื่อความบริสุทธิ์ของภรรยา
      หลังจากดูจบแล้วคงบอกได้ว่าเรื่องนี้เป็นซีรีส์แนวดราม่า พิศวาส ฆาตกรรม ที่สนุกงานดีเรื่องหนึ่งเลยครับ ยอมรับว่าในตอนแรกดูแบบไม่คาดหวังอะไรมาก แถมในสองสามตอนแรกยังดูเหมือนว่าจะไม่ใช่แนวที่ผมชอบเสียด้วย แต่ยิ่งดูไปซีรีส์ก็จะค่อย ๆ ดึงผู้ชมอย่างเราเข้าไปสู่เรื่องราวของ โกฮเยรัน ได้ เพราะชีวิตของ โกฮเยรัน ในตอนแรก มันเหมือนกับว่าศัตรูของเธอคือโลกทั้งใบ ทุกคนบนโลกสามารถเป็นศัตรูกับเธอได้หมด ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับสามี คังแทอุค ไม่ราบลื่นชีวิตคู่จะจบอยู่รอมร่อ กับเพื่อนร่วมงานในสถานีโทรทัศน์ เธอก็พร้อมงัดกับทุกคนไม่เว้นกระทั่งเจ้านาย ชีวิตของ โกฮเยรัน จึงเหมือนต่อสู้ด้วยตัวคนเดียวมาตลอด แล้วเธอเองก็เชื่อว่าจะชนะในทุกสนามแข่งขันทุกทีไป

เพียงแต่มนุษย์ทุกคนไม่ได้เกิดมาเมื่อวานแล้วเป็นตัวเราในวันนี้เลย ฉะนั้นทุกคนก็ย่อมมีอดีตด้วยกันทั้งนั้นไม่เว้นกระทั่ง โกฮเยรัน ซึ่งอดีตของเธอก็คือ อีแจยอง หรือ เควิน ลี สามีของเพื่อวัยเด็กอย่าง ซออึนจู (จอนฮเยจิน) โปรกอล์ฟที่ประสบความสำเร็จในปัจจุบัน แล้วชีวิตช่วงหนึ่งทั้งสองคนเคยใช้ชีวิตร่วมกันในแบบสามีภรรยา แต่เมื่อการอยู่ด้วยกันมันต่างฉุดรั้งชีวิตอีกฝ่าย โกฮเยรัน จึงตัดสินใจเดินออกมาจากความสัมพันธ์นั้น มันเลยสร้างความคับแค้นใจให้กับ อีแจยอง ที่คราวนี้กลับมาพร้องชื่อเสียงและยังไม่ลืมรักครั้งเก่า

ในช่วง 6 ตอนแรกของซีรีส์รูปแบบการเล่าเรื่องเลยออกแนวดราม่า ผัว เมีย ละเหี่ยใจ ชู้รัก อำมหิต พิศวาส ประมาณว่ามีแต่เรื่องผัวระแวงเมีย เมียระแวงผัว แต่ก็จะออกแนวผู้ใหญ่หน่อยไม่ได้มีตบตีลงไม้ลงมือกัน ส่วนวิธีการเล่าเรื่องซีรีส์ก็จะสลับสองเหตุการณ์คือเรื่องราวปัจจุบันในห้องสอบปากคำ ซึ่ง โกฮเยรัน ถูกเรียกตัวมาสอบในฐานะพยานที่อยู่กับผู้เสียชีวิตเป็นคนสุดท้าย กับเรื่องราวก่อนเกิดเหตุที่อาจเป็นการฆาตกรรมระหว่างที่ โกฮเยรัน ได้กลับมาพบกับ เควิน ลี อีกครั้ง ลำดับเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมา ซึ่งอาจเป็นแรงขับให้ โกฮเยรัน หรือใครสักคนอาจก่อเหตุฆาตกรรมได้ การเล่าเรื่องของซีรีส์ในช่วงนี้เอาจริงยังเดาไม่ออกเลยล่ะครับ ว่ามันใช่คดีฆาตกรรมแน่รึเปล่า หรือถึงต่อให้ใช่คดีฆาตกรรมใครกันที่เป็นคนก่อเหตุก็ยังดูไม่ออกง่าย ๆ เพราะนอกจาก โกฮเยรัน แล้วอีกหลายตัวละคร ต่างมีแรงขับให้ทำการฆาตกรรมได้เช่นเดียวกัน

พอมาถึงช่วงที่สองหลังผ่านตอนที่ 6 มาแล้ว ซีรีส์พลิกจากการเล่าเรื่องราวดราม่าชู้รัก มาจับประเด็นดราม่าสื่อสารมวลชนเป็นใจความหลัก ตั้งคำถามในเรื่องของข้อสันนิษฐานกับข้อเท็จจริง แล้วมีดราม่าการตั้งคำถาม ถึงเรื่องความเชื่อใจระหว่างสามีภรรยาเป็นประเด็นรอง ผมขอกล่าวถึงดราม่าประเด็นหลักก่อนก็แล้วกันครับ ซีรีส์เรื่องนี้เหมือนยกเอาตำรวจกับผู้สื่อข่าวมาชนกันเลยล่ะครับ ด้วยรูปแบบการทำงานของตำรวจ ยิ่งกับตำรวจอย่าง คังกีจุน ในซีรีส์เรื่องนี้ โอเคว่าเขาเป็นตำรวจน้ำดีตั้งใจทำงาน แต่เขาก็ทำงานด้วยการอาศัยสัญชาติญาณ อาศัยความเชื่อ อคติ นำมา แต่กลับยึดถือข้อเท็จจริงที่แม้จะยังไม่สมบูรณ์นักเป็นส่วนรอง การนำสืบของเขาจึงเจือปนไปด้วยเจตนาที่จำเพาะเจาะจงมากเกินไป จนอาจทำให้มองข้ามความน่าจะเป็นอื่น ๆ ของคดีไปได้

แล้วที่ผมบอกว่าชนกับสื่อมวลชนก็เพราะว่า สื่อมวลชนในเรื่องนี้อย่าง โกฮเยรัน ถือคติที่ว่า เรื่องที่ออกจากปากเธอต้องเป็นเรื่องจริงเท่านั้น เธอจึงใช้การรายงานข่าวของตัวเองด้วยการนำเสนอข้อเท็จจริง ตอบโต้ ตีแผ่เจตนาแอบแฝงของบางคน ที่อยากปิดปากนักข่าวอย่างเธอ ภาพของสื่อสารมวลชนภายในซีรีส์เรื่องนี้จึงมีความอุดมคติเป็นอย่างมาก ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเป็นคนดีทุกกระเบียดนะครับ พวกเขาต่างเป็นคนธรรมดาที่มีหลากหลายแง่มุมและทำผิดพลาดได้ แต่ในเรื่องของการรายงานข่าวพวกเขายึดมั่นในบทบาทสื่อมวลชน ยึดอุดมการณ์ ที่จะนำเสนอแต่ข้อเท็จจริงเท่านั้น แล้วต้องบอกว่าช่วงกลางของซีรีส์เรื่องนี้เป็นช่วงที่สนุก ชวนลุ้นเอามาก ๆ มีการชิงไหว ชิงพริบบทเชือดเฉือนกันตลอด

ส่วนดราม่าประเด็นรองในช่วงกลางเรื่องที่เป็นเรื่องของความเชื่อใจ ผมว่ามันเป็นดราม่าปัญหาโลกแตกของคู่รักแทบทุกคู่เลยนะครับ แล้วหลังจากดูซีรีสืเรื่องนี้จนจบผมก็เกิดคำถามที่ว่า ความเชื่อใจ มันเกิดจากความรู้สึกไว้วางใจคนรัก ที่เราสร้างขึ้นเอง หรือ ความเชื่อใจ มันเกิดจากการที่คนรักของเราทำให้เราไว้วางใจในตัวเขากันแน่ เพราะในเมื่อสิ่งที่ตาเห็นกับสิ่งที่ได้ยินมันสวนทางกัน แล้วเราต้องเชื่อใจว่ามันไม่มีอะไรจากคำที่ได้ยินจากปากคนรัก หรือเชื่อสายตาตัวเองที่มองเห็นภาพที่เหมือนมีอะไรตรงหน้า มันอาจง่ายสำหรับเราที่เป็นคนดู ที่เห็นเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นภายในซีรีส์ แล้วตัดสินได้ว่าเรื่องราวมันเป็นอะไรยังไง แต่ในมุมของตัวละครที่ไม่ได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมด การไปตั้งคำถามกับตัวละครว่าทำไมไม่เชื่อใจล่ะ จะได้ไม่มีเรื่องร้ายตามมมา มันก็ดูจะเป็นการตัดสินอะไรที่ง่ายไปสักหน่อย

ในส่วนท้ายเรื่องซีรีส์ก็จะวกกลับมาให้บทสรุปปิดท้ายเรื่องราวต่าง ๆ ซึ่งหากใครดูมาจนถึงช่วง 5-6 ตอนสุดท้ายคงพอเดาได้แล้วครับว่าเรื่องราวมันอะไรยังไง ใช่การฆาตกรรมหรือไม่ ถ้าใช่แล้วใครเป็นคนร้าย เพราะปมของซีรีส์ค่อนข้างชัดว่าจะใช้มุกซ้ำรอบเดิมกับเรื่องในอดีต พอถึงช่วงท้ายมันเลยเดาไม่ได้ยากแล้ว ซีรีส์ยังเคลียร์ทั้งประเด็นการสืบสวนของนักสืบคังกีจุน แล้วก็ดราม่าผัวเมียระหว่าง โกฮเยรัน กับ คังแทอุค ที่ให้คำตอบของคำถามที่ว่าทำไมความเชื่อใจถึงสำคัญ เพราะบางครั้งไม่ว่าเรื่องที่หวาดระแวง มันจะเป็นเรื่องจริงหรือเป็นเรื่องมโน การเชื่อใจกันมันอาจจะดีกว่า หากการหวาดระแวงมันนำมาซึ่งเรื่องที่เลวร้ายยิ่งกว่าเดิม แต่ก็ต้องย้อนกลับไปที่เรื่องราวทั้งหมดนั่นแหละครับ ถ้าคนดูลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างผัวเมียคู่นี้ก็จะเห็นได้ว่า โกฮเยรัน มีแรงขับที่อยากประสบความสำเร็จเป็นที่ยอมรับในสังคม ทำให้ตัดสินใจทำอะไรบางอย่างลงไป แล้วเธอก็ไม่พูดไม่บอกเหตุผล แล้ว คังแทอุค ก็ไม่ได้สังเกตุหรือมองเห็นถึงเหตุผลของ โกฮเยรัน เรื่องมันจึงไม่ใช่แค่กังวลว่าจะมีใครมาแทรกกลางในความสัมพันธ์ แต่ถึงต่อให้ไม่มีใครเข้ามา การไม่พูดคุยไม่บอกความรู้สึกจริง ๆ ออกไปแต่แรกต่างหาก ที่มันถ่างระยะห่างของความสัมพันธ์ออกไปเรื่อย ๆ อยู่แล้ว

การแสดงของนักแสดงแต่ละคนในซีรส์เรียกว่าปังทุกคนเลยครับ ไม่เฉพาะ คิมนัมจู ที่รับบท โกฮเยรัน เท่านั้น นักแสดงคนอื่นก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะ จีจินฮี ที่รับบทเป็น คังแทอุค สามีที่ทั้งหวาดระแวงภรรยาและยังต้องคอยอยู่เคียงข้างเธอ เป็นตัวละครที่เอาจริงผมอยากจะเขียนขยายความอะไรอีกเยอะ แต่เกรงว่ามันจะเป็นการเปิดเผยเนื้อหามากเกินไป เอาเป็นว่าแม้จะดูเป็นตัวละครที่ขับเคลื่อนจากแรงผลักของ โกฮเยรัน แต่ก็เป็นตัวละครที่สร้างอิมแพคต่อเรื่องราวได้ในหลายครั้ง

อีกหนึ่งตัวละครที่แม้จะไม่ได้มีอิมแพคต่อเนื้อหาหลักมากนัก แต่ก็เป็นหนึ่งในแรงขับช่วงต้นของซีรีส์ จินกีจู ที่รับบทเป็น ฮันจีวอน ผู้ประกาศข่าวรุ่นน้องที่พยายามขึ้นมาทาบรัศมี ตัวละครที่อาจดูน่าหมันไส้ในตอนแรก เพราะดูจะทำทุกอย่างให้ตัวเองก้าวมายืนในสปอร์ตไลท์ แต่ก็เป็นหนึ่งตัวละครที่มีพัฒนาการอย่างชัดเจน เมื่อทัศนคติของตัวละครมีความเปลี่ยนแปลง

จากเรื่องราวต่าง ๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ มันเลยเหมือนกับประโยคหนึ่งที่ออกจากปากของบางตัวละครล่ะครับ "เรื่องที่เกิดขึ้นมันโทษใครไม่ได้หรอก ทุกคนต่างตัดสินใจเลือกการกระทำของตัวเอง ก็ย่อมต้องรับผลที่ตามมาด้วยตัวเองด้วยกันทั้งนั้น" ไม่ว่าจะ โกฮเยรัน ที่พยายามปกป้องตัวเองจากอดีตที่อยากปกปิดเอาไว้ คังแทอุค ที่ใช้อารมณ์และความรู้สึกขอตัวเองนำหน้าเหตุผล เควิน ลี ที่อุตส่าห์พยายามอย่างหนักเพื่อมีชีวิตที่ดี กลับเอาเรื่องในอดีตมาทำลายคนอื่นและตัวเอง ซออึนจู ที่มองหาคนให้โทษจากความผิดหวังที่เกิดขึ้นกับชีวิต จนทำลายเพิ่มไปอีกหนึ่งชีวิต ส่วนคนสุดท้าย ฮามยองอู (อิมแทคยอง) ตัวละครลับของเรื่องคงจะต้องใช้คำว่า ไอ้ต้าวคลั่งรัก ไม่ใช่สิครับ คงจะใช้คำว่าเป็นคนที่ตัดสินใจมอบทั้งชีวิตให้กับ โกฮเยรัน ไปทั้งหมดแล้ว จากการด่วนตัดสินใจตามประสาวัยรุ่นเลือดร้อนในอดีต ซึ่งทุกคนที่ผมกล่าวมาทั้งหมดล้วนโทษใครไม่ได้ เมื่อพวกเขาต่างเลือกหนทางด้วยตัวเองทั้งนั้น

ในช่วงท้ายรีวิวผมของสรุปถึงซีรีส์เรื่องนี้ว่า เป็นซีรีส์แนวดราม่าที่สนุก ดีงามอีกเรื่องหนึ่งเลยล่ะครับ เนื้อหาเข้มข้น ทั้งในพาทดราม่าชีวิต รวมทั้งพาทดราม่าสื่อสารมวลชนก็สนุกเอามาก ๆ เช่นกัน เพียงแต่คงต้องบอกว่า ต้องเป็นกลุ่มคนที่ดูซีรีส์เนื้อหาแนวผัวเมีย อิจฉา ริษยากันพอได้ล่ะครับ โอเคว่ามันก็ไม่ได้อารมณ์แบบละครไทย แต่มันก็เป็นดราม่าชีวิตผัวเมียเต็ม ๆ ถ้าใครไม่ชอบก็คงจะไม่ชอบล่ะครับ แต่หากถามความเห็นของผมขนาดว่าก็ไม่ได้ชอบดูแนวนี้ก็ยังบันเทิงไปกับซีรีส์ได้เลยล่ะครับ
 
ขอบคุณภาพประกอบจากซีรีส์: Misty (2018)

#รีวิวซีรีส์ #SeriesReview

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Review: All of Us Are Dead (2022)

 All of Us Are Dead (2022) มัธยมซอมบี้ Screenwriter:  Chun Sung Il Director:  Lee Jae Gyoo       ซีรีส์เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโรงเรียนมัธ...