วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

Review: Bokura wa Koi ga Hetasugiru (2020)

 Bokura wa Koi ga Hetasugiru (2020) พวกเราน่ะห่วยเรื่องความรัก

  • Director: Sakamoto Eiryu
  • Screenwriter: Uchida Hiroki

      ฟุจิวาระ ฮานะ (คาวาชิมะ ยูมิกะ) สาวออฟฟิศที่กำลังตรอมใจหลังจากถูกแฟนบอกเลิก พยาบาลสาวเพื่อนซี้ที่คบกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม อย่าง คาตายามะ มิซุกิ (อาซากาวะ นานะ) ก็เลยชวนเปลี่ยนบรรยากาศมาเที่ยวบ่อน้ำพุร้อนต่างเมือง ซึ่งการไปเที่ยวครั้งนี้มันทำให้ทั้งสองคนได้พบ นาริตะ โยสุเกะ (ชิราสุ จิน) กับ อิชิโนเสะ อายุมุ (ชิโอโนะ อากิฮิสะ) สองหนุ่มเพื่อนสนิทที่ โยสุเกะ ก็มีชะตากรรมไม่ต่างจาก ฮานะ เมื่อเขาก็เพิ่งถูกแฟนบอกเลิกมาเหมือนกัน นั่นจึงทำให้บทสนทนาระหว่าง ฮานะ กับ โยสุเกะ มีความน่าอึดอัดใจ สวนทางกับ มิซุกิ ที่ดูเหมือนว่าจะสนใจในตัวพ่อหนุ่ม โยสุเกะ 

วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

Review: Beyond Evil (2021)

 Beyond Evil  (2021) 

  • Screenwriter: Kim Soo Jin
  • Director: Shim Na Yeon

      อีดงชิก (ชินฮากยุน) นายตำรวจเลือดบ้าแห่งสถานีตำรวจย่อยในมันยาง เมืองเล็ก ๆ ที่ผู้คนติดหล่มอยู่กับอดีตอันเลวร้าย เมืองที่คนในอยากออก ส่วนคนนอกก็ไม่มีใครสนใจจะย้ายเข้ามา แล้วในวันหนึ่งใครจะไปคิดว่านายตำรวจดาวรุ่งอย่างสารวัตรฮันจูวอน (ยอจินกู) หัวกะทิของโรงเรียนตำรวจ จะอาสาย้ายเข้ามาทำงานที่สถานีย่อยในมันยาง แต่สิ่งที่ทำให้หลายคนประหลาดใจ ไม่ใช่เพียงแค่เขาเป็นตำรวจหนุ่มที่มีอนาคตเท่านั้น ฮันจูวอน ยังเป็นลูกชายของ ฮันกีฮวาน (ชเวจินโฮ) รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คนที่เป็นว่าที่ผู้บัญชาการคนต่อไป จุดประสงค์การมาที่มันยางในครั้งนี้ของ ฮันจูวอน คู่หูคนใหม่ จึงคลุมเครือในสายตาของ อีดงชิก  

วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

Review: All of Us Are Dead (2022)

 All of Us Are Dead (2022) มัธยมซอมบี้

  • Screenwriter: Chun Sung Il
  • Director: Lee Jae Gyoo

      ซีรีส์เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโรงเรียนมัธยมฮโยซาน ซึ่ง อีบยองชาน (Kim Byung Chul) ครูสอนวิทยาศาสตร์เกิดอุตริทำการทดลองสุดสยองขึ้นมา เพราะอยากจะให้ลูกชายของตัวเองที่มักโดนรังแกตอบโต้กลับไปบ้าง แต่ผลลัพธ์ของการทดลองกลับกลายเป็นการสร้างไวรัส ที่เปลี่ยนให้คนติดเชื้อกลายเป็นซอมบี้ เพียงเวลาไม่กี่ชั่วโมงทั้งโรงเรียนแปรสภาพกลายเป็นนรกบนดิน เมื่อทั้งครูและนักเรียนกลายเป็นฝูงซอมบี้กระหายเลือด นักเรียนที่เหลือรอดชีวิตจึงต้องพยายามทำทุกทางเพื่อเอาตัวรอด เพียงแต่การเป็นแค่เด็กมัธยม แล้วต้องมาเอาชีวิตรอดท่ามกลางฝูงห่าซอมบี้ มันก็กดดันบีบคั้น จนทำให้การตัดสินใจเรื่องง่าย ๆ ผลลัพธ์มันก็ออกมาอิหยังวะได้เหมือนกัน

วันพุธที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

Review: #Alive (2020)

 #Alive (2020) คนเป็นฝ่านรกซอมบี้

Screenwriter & Director: Jo Il Hyung

      ตั้งแต่ทั่วโลกได้รู้จักกับ Train to Busan ก็ต้องบอกว่า ไม่มีอะไรมาหยุดยั้งความร้อนแรงของ K-Zombies ได้เลย เมื่อหนังซอมบี้สัญชาติเกาหลีใต้ที่สร้างออกมานั้น สามารถการันตีได้ในขั้นแรกเลยว่าจะทำออกมาสนุกตื่นเต้นแน่นอน เพราะหนัง K-Zombies นั้นนำเอาจุดเด่นของซอมบี้ยุคใหม่มาใช่เป็นแกนหลัก ที่มีความโหด ความรวดเร็ว โจมตีกันเป็นฝูง แถมยังไวต่อเสียงเรียกได้ว่าหากเหล่ามนุษย์ในหนังซอมบี้เกาหลีอยากจะมีชีวิตรอดล่ะก็ ต้องสับตีนแตกหรือไม่ก็เก็บตัวนิ่ง ให้เงียบที่สุดเท่านั้น

เช้าธรรมดาวันหนึ่งของ จุนอู (ยูอาอิน) เด็กหนุ่มที่ตัดสินใจโดดเรียนนั่งเล่นเกมอยู่ในอพาร์ทเมนท์ ต้องกลายเป็นวันที่เขาจะจดจำไปชั่วชีวิต เมื่อทั้งเมืองที่เขาอาศัยอยู่นั้น เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสลึกลับที่เปลี่ยนคนให้กลายเป็นซอมบี้ ด้านหนึ่งมันก็กลายเป็นความโชคดีในการโดดเรียนของ จุนอู ในคราวนี้ ที่ทำให้เขาไม่ต้องออกไปเผชิญหน้าเหล่าซอมบี้ แต่อีกด้านมันก็ทำให้เขาติดอยู่ในอพาร์ทเมนท์เพียงลำพัง ท่ามกลางเหล่าเพื่อนบ้านที่กลายเป็นซอมบี้กันไปหมดแล้ว

จุนอู ใช้ชีวิตผ่านไปแต่ละวันเพียงเพราะหวังว่าความช่วยเหลือจะมาถึง แต่ยิ่งเวลาผ่านไป จุนอู ก็เริ่มนึกถึงคำบ่นของแม่ ที่มักจะบอกให้เขาออกไปซื้อของมาตุนในตู้เย็น เมื่อในตอนนี้อาหารมันร่อยหลอลงไปทุกที ความหวังในการรอความช่วยเหลือก็ยิ่งลดลงไปทุกขณะ เมื่อดูเหมือนว่าในตอนนี้ ภายนอกก็กำลังเจอกับปัญหาเดียวกันหมด แล้วแบบนี้ จุนอู จะตัดสินใจอย่างไร จะไปตายเอาดาบหน้าหรือจะนอนรอจนกว่าความตายมันจะมาถึงคิวของตัวเอง

หนังซอมบี้จากเกาหลีอีกเรื่องหนึ่งที่ค่อนข้างมีกระแสความสนใจในไทย ซึ่งตัวหนังเรื่องนี้ผมก็ไม่รู้จะใช้คำอธิบายว่าอะไรดี คือหนังได้ไอเดียและ Matt Naylor มือเขียนบทมาจากหนังซอมบี้ฝรั่งเรื่อง Alone (2020) มันก็เลยมีอะไรคล้ายกันบ้าง ซึ่งตัวผมยังไม่เคยดูหนังเรื่อง Alone เต็ม ๆ มาก่อนเคยดูแต่ตัวอย่างหนังเท่านั้น เลยไม่ทราบว่ามันมีความแตกต่างหรือคล้ายกันจุดไหนบ้าง รีวิวนี้เลยจะขอกล่าวถึงเฉพาะหนังเรื่องนี้อย่างเดียวก็แล้วกันครับ

แน่นอนว่าจากที่เห็นในตัวอย่างทีแรก หลายคนคงพอดูออกว่าหนังไม่ได้คิดการใหญ่ ฉะนั้นใครที่ติดภาพฝูงห่าซอมบี้พุ่งเข้าโจมตีคนแบบใน Train to Busan และภาคต่อ Peninsula ก็ขอให้ลดความคาดหวังสเกลความใหญ่ความตื่นตาตื่นใจแบบนั้นได้เลยครับ เพราะหนังเรื่องนี้เน้นขายความลุ้นระทึก ตื่นเต้น จากข้อจำกัดของมนุษย์ในการเอาชีวิตรอด ไม่ว่าจะสถานที่ อาหาร การสื่อสารและระยะทาง ที่ตัวละครต้องฝ่าด่านซอมบี้ให้ได้เพื่อเอาชนะอุปสรรคที่ว่า 

ซึ่งหลังจากที่ผมดูจบบอกได้ว่าแม้ความสนุกตื่นเต้นมันจะไม่ได้พุ่งถึงขีดสุดอะไร แต่ถามว่าหนังทำได้ตามมาตรฐานหนังซอมบี้ที่สนุกซักเรื่องหนึ่งรึเปล่า ผมตอบได้เลยว่าหนังสนุกมีหลายฉากทำให้ลุ้นจนนั่งไม่ติด ในส่วนของซอมบี้ก็ดีไซน์ออกมาในแนวทางเดียวกัน กับใน Train to Busan ดูสยองขวัญ บิดเบี้ยว น่าขนลุกใช้ได้เลยครับ แล้วก็ แม้สเกลหนังจะเล็กแต่ในเรื่องเมคอัพเอฟเฟคของซอมบี้ ก็ออกมาดีไม่ไก่กา การออกแบบฉากจู่โจมของซอมบี้ ก็ทำได้ตื่นเต้นชวนให้คนดูเอาใจช่วยตัวละครได้ดีครับ 

ส่วนในเรื่องของนักแสดงในทีแรกที่เห็นแคส ยูอาอิน กับ พัคชินฮเย ผมก็คิดว่าหนังอาจจะเน้นขายความดราม่า เพราะเลือกนักแสดงสายนี้มารับบทนำ แต่เอาเข้าจริงแม้จะบอกได้ว่านักแสดงอย่าง ยูอาอิน จะทำออกมาได้ดีในส่วนของการแสดง แต่ด้วยข้อจำกัดเรื่องเวลาในหนัง มันก็น้อยเกินกว่าที่จะปูดราม่าให้ผู้ชมอินได้มากพอ ในส่วนดราม่าของหนังเลยบอกได้ว่ามันไปไม่สุด ด้วยข้อจำกัดเรื่องเวลาที่เป็นกำดักที่หนังสร้างขึ้นมาเอง แต่ส่วนที่ผมถูกใจ จะว่าถูกใจก็ไม่ใช่เสียทีเดียว เรียกว่าน่าสนใจคงจะใช่กว่าครับ กับเรื่องของคาแรคเตอร์ตัวละคร จุนอู ที่ ยูอาอิน รับบท และ ยูบิน ที่พัคชิยฮเย รับบทบาทนั้นครับ 

เมื่อหนังเลือกให้ จุนอู เป็นเด็กวัยรุ่นในแบบที่เรียกได้ว่า พร้อมจะสร้างวิกฤติซ้ำซ้อนให้กับตัวเองได้ตลอดเวลา เขาใช้ชีวิตอย่างไร้ความหมายผ่านไปวัน ๆ ไม่สนโลกไม่มีการวางแผนอะไร กระทั่งเกิดเหตุการณ์ซอมบี้ระบาดขึ้นมาก็แทบจะเรียกได้ว่า ไม่เหลือแรงบันดาลใจอะไรในการใช้ชีวิตเลย เมื่อต้องอยู่ตัวคนเดียว แต่พอได้เจอกับ ยูบิน ความหวังในการจะมีชีวิตอยู่ มันก็เลยกลับมาอีกครั้ง ตรงนี้ผมไม่แน่ใจนะว่าหนังจงใจสะท้อนชีวิตวัยรุ่นเกาหลีหรือเปล่า แต่ก็ดูมีแนวโน้ม เพราะว่าหนังเองก็เลือกหยิบเอากิมมิกของการสื่อสารในยุคปัจจุบันมาใช้ด้วย พร้อมทั้งแอบใส่ความตลกร้ายของเทคโนโลยีเข้ามาอีก อย่างตอนที่ จุนอู ไม่สามารถรับข่าวสารจากทีวีได้แล้ว เขาจำเป็นต้องฟังจากวิทยุแทน แต่เจ้ากรรมหูฟังสมัยนี้ดันเป็นแบบไร้สาย เลยไม่มีแจ็คเสียบกับช่องหูฟัง หรือการที่เครือข่ายโทรศัพท์ล่ม ก็จำเป็นต้องหันมาใช้วิทยุสื่อสารทดแทน การที่นางเอก ยูบิน มีสกิลการเอาชีวิตรอดได้ดีในช่วงเวลาคับขัน โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยี อะไรต่าง ๆ เหล่านี้ หากจะมองว่าหนังหยิบเอามาสะท้อน การใช้ชีวิตของคนในปัจจุบันมันก็คงพอมองได้ครับ

ยิ่งกับการที่หนังออกมาในช่วงโรคระบาด โควิด – 19 ด้วยแล้ว ความห่างระหว่าง จุนอู กับ ยูบิน มันยิ่งสะท้อนได้อย่างชัดเจนเลยว่า มนุษย์เรานั้นยังไงก็เป็นสัตว์สังคมที่ต้องอยู่ร่วมกัน ในขณะที่ยังมีคนล้อมรอบอยู่ จุนอู ก็ไม่ได้เห็นคุณค่าอะไรใช้ชีวิตมาลำพังคนเดียว แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องอยู่ตัวคนเดียวจริง ๆ แล้ว มันคนละเรื่องกันเลย เหมือนกับฉากที่มีแสงเลเซอร์จาก ยูบิน ยิงมาที่ตัวเขา นาทีนั้นความอยากตายมันก็หายไปจากหัวสมองเลย

สรุปแล้ว #Alive (2020) เป็นหนังซอมบี้ที่ผมบอกได้ว่าสนุก แต่อย่าคาดหวังเยอะเพราะหนังสเกลเล็กและเน้นขายข้อจำกัดของตัวละคร ในพาทดราม่าก็ทำออกมาได้ไม่สุด แต่ในภาพรวมถือว่าผ่านมาตรฐานหนังซอมบี้ที่ดูเพื่อความบันเทิง บวกด้วยประเด็นต่าง ๆ ในหนังที่ผมกล่าวไป แม้จะไม่ได้ขับเน้นออกมาชัดเจนจับต้องได้มากนัก แต่ก็ถือว่าเป็นส่วนที่แต่งแต้มสีสันความแปลกใหม่ให้กับหนังได้พอสมควรครับ


Review: One In A Hundred Thousand (2020)

  One In A Hundred Thousand (2020) ใจดวงนี้แสนรักเธอ #ปีนรั้วรีวิว   #Drama   #Romance  Director: Koichiro Miki       ริโนะ ซากุรางิ (ไทระ ย...