วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

Review: Beyond Evil (2021)

 Beyond Evil  (2021) 

  • Screenwriter: Kim Soo Jin
  • Director: Shim Na Yeon

      อีดงชิก (ชินฮากยุน) นายตำรวจเลือดบ้าแห่งสถานีตำรวจย่อยในมันยาง เมืองเล็ก ๆ ที่ผู้คนติดหล่มอยู่กับอดีตอันเลวร้าย เมืองที่คนในอยากออก ส่วนคนนอกก็ไม่มีใครสนใจจะย้ายเข้ามา แล้วในวันหนึ่งใครจะไปคิดว่านายตำรวจดาวรุ่งอย่างสารวัตรฮันจูวอน (ยอจินกู) หัวกะทิของโรงเรียนตำรวจ จะอาสาย้ายเข้ามาทำงานที่สถานีย่อยในมันยาง แต่สิ่งที่ทำให้หลายคนประหลาดใจ ไม่ใช่เพียงแค่เขาเป็นตำรวจหนุ่มที่มีอนาคตเท่านั้น ฮันจูวอน ยังเป็นลูกชายของ ฮันกีฮวาน (ชเวจินโฮ) รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คนที่เป็นว่าที่ผู้บัญชาการคนต่อไป จุดประสงค์การมาที่มันยางในครั้งนี้ของ ฮันจูวอน คู่หูคนใหม่ จึงคลุมเครือในสายตาของ อีดงชิก  

หลังจากการมาของ ฮันจูวอน ที่มันจูได้ไม่นาน เมืองที่ติดหล่มอยู่กับอดีตแห่งนี้ก็ต้องเผชิญกับข่าวร้ายอีกครั้ง เมื่อเจ้าหน้าที่พบร่างของเหยื่อถูกฆาตกรรมในเมือง แต่ที่มันมากกว่าการฆ่ากันตายเหมือนคดีทั่วไปก็เพราะว่า ลักษณะการตายของเหยื่อมันเหมือนกับคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 20 ปีที่แล้ว คดีที่ไม่สามารถจับคนร้ายมารับโทษได้ รวมถึงอาจจะมีเหยื่อหลายรายที่ยังไม่พบร่าง เพราะสิ่งที่ฆาตกรเหลือไว้มีเพียงแค่นิ้วมือ 10 นิ้วของเหยื่อ คดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่กลับมาฉุดรั้งและหลอกหลอนชาวมันจูอีกครั้ง ซึ่งคนที่ชาวเมืองต่างสาปส่งและกล่าวโทษ เมื่อคดีนี้ถูกหยิบยกมาพูดถึงก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น อีดงชิก ผู้ต้องสงสัยของคดีฆาตกรรมนี้เมื่อ 20 ปีที่แล้ว 

ซีรีส์เกาหลีแนวสืบสวน จิตวิทยา ที่หยิบเอาเรื่องของการพัฒนาเมืองมาเป็นแบล็กกราวน์ แต่เรื่องนี้จับประเด็นที่อาจแตกต่างไปเล็กน้อย เพราะหนังหรือซีรีส์ที่กล่าวถึงการพัฒนาเมืองเป็นพื้นหลัง มักจะจับสองประเด็นที่หากไม่พูดถึงแง่มุมอนุรักษ์นิยม แบบความทรงจำดี ๆ ของเมืองหรือของผู้คนที่มีร่วมกัน อย่างหนังเรื่อง Salut D'Amour (2015) หัวใจรักไม่หมดไฟ และ Ode to My Father (2014) กี่หมื่นวัน ไม่ลืมคำสัญญาพ่อ ซึ่งหากไม่พูดถึงประเด็นที่ว่านี้ก็มักจะพูดถึงความขัดแย้ง ระหว่างผู้คนในท้องถิ่นที่ไม่อยากเปลี่ยนแปลง กับกลุ่มนายทุนที่พยายามกว้านซื้อที่ดินและขับไล่ผู้คนในชุมชนออกไป เหมือนกันหนังเรื่อง Psychokinesis (2018) ยอดคุณพ่อจิตสะท้าน

ส่วน Beyond Evil เรื่องนี้ไม่ได้พูดถึงทั้งสองประเด็นที่ผมกล่าวถึง แต่ซีรีส์เลือกพูดถึงสิ่งที่คอยฉุดรั้งให้เมืองนี้ไม่สามารถพัฒนาได้ นั่นก็คือ คดีฆาตกรรม เพราะคงไม่มีใครอยากย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองที่เกิดคดีร้ายแรง ไม่มีความปลอดภัยแบบนี้ แล้วเมื่อไม่มีใครอยากย้ายเข้ามา ที่ดินราคาตกขายไม่ออก แผนพัฒนาเมืองก็คงจะกลายเป็นหมันไปในที่สุด 

แต่ผมขอค้างประเด็นนี้ไว้ก่อน ขอมาพูดถึงเนื้อหาส่วนอื่นของซีรีส์กันบ้าง การดำเนินเรื่องของซีรีส์ผมขอแบ่งเป็นสองช่วง ช่วงครึ่งแรกจะเน้นขายที่ความลึกลับของบทและคาแรคเตอร์ตัวละคร ซีรีส์สร้างความไม่น่าไว้วางใจให้กับทุกตัวละคร ทุกคนมีความน่าสงสัยว่าอาจจะเป็นฆาตกรต่อเนื่อง กระทั่งตัวละครอย่าง ฮันจูวอน คนดูอาจจะไม่ได้สงสัยในตัวเขาก็จริง แต่ถามว่าที่มาที่ไปหรือเหตุผลที่ทำให้ นายตำรวจที่มีอนาคตอย่างเขาย้ายมาทำงานในเมืองเล็ก ๆ มันก็ดูคลุมเครืออยู่ดี หลายตัวละครในเรื่องก็จะมีช่วงเวลาที่ซีรีส์จับมาอยู่ในโหมดผู้ต้องสงสัย โดยเฉพาะ อีดงชิก ที่ซีรีส์จงใจสร้างความสงสัยอย่างชัดเจน แต่ส่วนตัวผมเดาตัวละครฆาตกรต่อเนื่องได้ตั้งแต่ตอนที่สอง จากบางข้อมูลที่ซีรีส์ให้เบาะแสบอกใบ้กับคนดูครับ

ในครึ่งแรกผมว่าเป็นอะไรที่น่าจะถูกใจคอสืบสวน จิตวิทยาที่สุดละครับ เพราะซีรีส์พาผู้ชมไปสำรวจสภาพจิตใจของผู้คนในเมืองมันยาง จากผลกระทบของคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่เกิดขึ้นในเมือง ซึ่งมันจะบอกถึงเหตุผลของแต่ละการกระทำของตัวละคร ที่บางคนก็เป็นญาติพี่น้องของเหยื่อ บางคนเป็นลูกหลานของเหยื่อ บางคนอาจจะรู้สึกผิดที่ใช้ประโยชน์จากเหยื่อ หรือบางคนอาจเคยกล่าวโทษผู้บริสุทธิ์ และซีรีส์ยังมีประเด็นที่พูดถึง ความสำคัญในการพบร่างของเหยื่ออีกด้วย ภาพที่ซีรีส์สื่อสารออกมามันทำให้เห็นเลยนะครับ ว่าการรอคอยมันทรมาน การที่ครอบครัวได้พบกับร่างของคนที่หายสาปสูญไป มันทำให้อย่างน้อยพวกเขาก็รู้ชะตากรรมของคนที่รัก ทำให้พวกเขาได้ปลดปล่อยตัวเอง รู้ว่าตัวเองเผชิญกับอะไรอยู่ แต่ระหว่างรอคอยที่ไม่รู้ชะตากรรม ยังแอบมีความหวังอยู่ลึก ๆ  ทั้งที่ก็รู้ว่าอาจจะไม่มีหวัง มันเป็นความทรมานสำหรับคนที่เกี่ยวข้องเหยื่อ ซึ่งในประเด็นเดียวกันนี้ซีรีส์ยังสื่อออกมา ในแง่มุมของการสืบสวนและดำเนินคดีกับคนร้ายอีกด้วย ว่ามันยากง่ายแตกต่างกันระหว่างการพบและไม่พบร่างของเหยื่อ

ส่วนครึ่งหลังซีรีส์ยังคงธีมการสืบสวนอย่างเดิมไว้ แต่วิธีการเล่าเรื่องจะไม่ได้ขายสืบสวนเชิงจิตวิทยา ชวนสงสัย แบบครึ่งแรก ด้วยการหันมาสืบสวนด้วยการหาหลักฐานและพิสูจน์ข้อเท็จจริงมากกว่า ผสมด้วยความดราม่าที่หนักแน่นเข้มข้นมากขึ้น เมื่อมันท้าทายตรงที่คนใกล้ตัวหรือคนที่ไว้ใจ อาจจะกลายเป็นคนที่พวกเขาต้องจับใส่กุญแจมือเสียเอง บทของซีรีส์มันไปไกลกว่าแค่การฆาตกรรมต่อเนื่อง เมื่อดันมีคดีอำพรางศพซ้อนเข้ามาในคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง แล้วจากที่ครึ่งแรกผมเดาตัวฆาตกรต่อเนื่องได้อย่างไว พอมาถึงครึ่งหลังปมที่สองในพาทนี้ ผมขอบอกเลยว่าไม่ต้องเสียเวลาเดา เพราะหากเดาตามเบาะแสที่ซีรีส์ให้มาแบบฆาตกรคนแรก มันก็เท่ากับคนดูเดินไปติดกับดักที่คนเขียนบทวางเอาไว้ พูดง่าย ๆ ว่าเขาไม่ใช้มุกเดิมซ้ำสองหรอกครับ 

ถามว่าความแตกต่างของธีมการสืบสวน ระหว่างครึ่งแรกกับครึ่งหลังแบบไหนสนุกกว่ากัน สวนตัวผมชอบการนำเสนอแบบครึ่งแรกของซีรีส์นะ มันคาดเดาสนุก ชวนลุ้น ชวนติดตาม เพราะถึงจะเดาได้แต่ในเมื่อซีรีส์ยังไม่เฉลยมันก็ยังไม่ชัวร์ ส่วนการสืบสวนในครึ่งหลังก็ไม่ใช่ว่าไม่สนุก แต่พอเหตุการณ์มันเริ่มคลี่คลาย คาแรคเตอร์ตัวละครส่วนใหญ่ชัดเจนมากขึ้น ซีรีส์หันมาดำเนินการสืบสวนแบบจริงจัง มีการหาข้อมูล หาหลักฐาน คนที่ถูกใจกับธีมลึกลับ หวาดระแวงของซีรีส์ในครึ่งแรก อาจจะรู้สึกว่าความสนุกมันแผ่วหรือเปล่า แต่ส่วนตัวผมไม่ได้มองว่ามันแผ่วนะครับ แค่วิธีการเล่าเรื่องมันคนละแบบกันก็เท่านั้นเอง

ซึ่งครึ่งหลังนี่แหละครับที่ภาพมันชัดเจนขึ้นมา ถึงปมที่ว่าคดีฆาตกรรมมันเกี่ยวอะไรกับการพัฒนาเมือง เมื่อสาเหตุที่ทำให้ไม่สามารถพัฒนาเมืองได้ ก็เพราะคดีฆาตกรรมที่ปิดไม่ลงมันฉุดรั้งเอาไว้ พวกเขาจะกลายเป็นเมืองที่ไม่มีความปลอดภัยหากมีคดีฆาตกรรม แต่แทนที่คนที่เกี่ยวข้องจะคิดว่า ต้องจับคนร้ายให้ได้เพื่อจะได้ไม่มีคดีฆาตกรรม พวกเขากลับพยายามซุกความเลวร้ายเอาไว้ใต้พรม แล้วพอยิ่งซุกเข้าไปมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งบิดเบี้ยว แล้วความเลวร้ายที่ซุกเอาไว้มันก็เปิดเผยออกมา เพราะมันยังอยู่ตรงนั้นเสมอ เมื่อผลกระทบที่เกิดขึ้นและความเลวร้าย มันไม่เคยจางหายไปไหนเลย เมื่อถึงบทสรุปมันทำให้รู้เลยว่ามันอาจจะง่ายกว่าสำหรับพวกเขา หากทำอะไรตรงไปตรงมาตั้งแต่ทีแรก

เป็นซีรีส์ที่นักแสดงแต่ละคนทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีมาก ทุกตัวละครทุกคนคือทำได้สุดจริง อย่างชินฮากยุน ที่แสดงเป็น อีดงชิก ก็ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม แบคซัง ครั้งที่ 57 แต่ส่วนตัวผมคุ้นเคยกับบททำนองนี้ของ ชินฮากยุน มาตั้งแต่หนังเรื่อง The Devil's Game (2008) แล้วเลยไม่ค่อยแปลกใจกับผลลัพธ์ที่ออกมาเท่าไหร่ ส่วนนักแสดงนำอีกคนอย่าง ยอจินกู ที่รับบทเป็น ฮันจูวอน ฝีมือการแสดงก็เชื่อขนมกินได้อยู่แล้ว เพราะเจ้าตัวเป็นนักแสดงที่ได้รับบทดราม่าหนัก ๆ มาตั้งแต่เด็กแล้ว เพียงแต่เรื่องนี้น้ำหนักจะเทไปที่ตัวละคร อีดงชิก เลยทำให้ ชินฮากยุน ได้แสดงมิติของตัวละครได้โดดเด่นมากกว่า แล้วอีกคนที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ก็คือ ชเวแดฮุน ที่รับบทเป็น พัคจองเจ ถ้าเอาส่วนตัวผมเลยผมให้ ชเวแดฮุน เป็น MVP ของเรื่องนี้เลยครับ ครึ่งหลังของซีรีส์คือสุดจริงถือว่าเป็นอีกหนึ่งนักแสดง ที่ได้โชว์ของอย่างมากในเรื่องนี้ แล้วมันก็ส่งผลให้เจ้าตัวได้เสนอชื่อเข้าชิงรางวัล ในสาขาสมทบชายยอดเยี่ยม แบคซัง ครั้งที่ 57 

ถามว่าหลังจากดูซีรีส์จนจบแล้วให้ผมบอกว่าซีรีส์สื่อสารถึงอะไร ผมว่ามันเป็นเรื่องของการที่คนเราจะก้าวไปข้างหน้า จากจุดที่ตัวเองยืนอยู่ไปสู่อะไรใหม่ ๆ มันก็ต้องสะสางเรื่องราวในอดีตให้มันหมดจดเสียก่อน หากคอยแต่จะซุกซ่อนอะไรไม่ดีเอาไว้ มันก็จะเหมือนกับเมืองมันยางและผุ้คนที่เกี่ยวข้องนั่นแหละ ที่อดีตคอยตามมาหลอกหลอนฉุดรั้งให้ก้าวไปข้างหน้าไม่ได้เสียที

ช่วงท้ายรีวิวผมขอสรุปถึงซีรีส์เรื่องนี้ว่าเป็นซีรีส์สืบสวน ที่ผมชอบเรื่องหนึ่งของปีนี้เลยนะครับ บทดี พลิกแพลง มีลูกเล่นหลอกล่อกับคนดู การแสดงของนักแสดงก็จัดว่าดีงามทุกคน เนื้อหาสาระของซีรีส์ก็สะท้อนอะไรหลาย ๆ อย่าง แค่มันอาจจะเป็นเรื่องไกลตัวคนทั่วไปสักนิด เพราะมันเกี่ยวกับคดีการฆาตกรรม ส่วนในแง่มุมความบันเทิงซีรีส์ก็จัดเต็ม ด้วยการนำเสนอสองรูปแบบความแตกต่าง ระหว่างครึ่งแรกและครึ่งหลัง ที่ความสนุกน่าติดตามไม่ได้ลดลงเลย



#ReviewSeries #รีวิวซีรีส์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Review: The King of Pigs (2022)

The King of Pigs (2022) #Thiller   #Drama Director: Kim Dae-Jin Writer: Tak Jae-Young       ฮวังคยองมิน (Kim Dong-Wook) ประธานบริษัทขนส่งผู้...