วันพุธที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

Review: #Alive (2020)

 #Alive (2020) คนเป็นฝ่านรกซอมบี้

Screenwriter & Director: Jo Il Hyung

      ตั้งแต่ทั่วโลกได้รู้จักกับ Train to Busan ก็ต้องบอกว่า ไม่มีอะไรมาหยุดยั้งความร้อนแรงของ K-Zombies ได้เลย เมื่อหนังซอมบี้สัญชาติเกาหลีใต้ที่สร้างออกมานั้น สามารถการันตีได้ในขั้นแรกเลยว่าจะทำออกมาสนุกตื่นเต้นแน่นอน เพราะหนัง K-Zombies นั้นนำเอาจุดเด่นของซอมบี้ยุคใหม่มาใช่เป็นแกนหลัก ที่มีความโหด ความรวดเร็ว โจมตีกันเป็นฝูง แถมยังไวต่อเสียงเรียกได้ว่าหากเหล่ามนุษย์ในหนังซอมบี้เกาหลีอยากจะมีชีวิตรอดล่ะก็ ต้องสับตีนแตกหรือไม่ก็เก็บตัวนิ่ง ให้เงียบที่สุดเท่านั้น

เช้าธรรมดาวันหนึ่งของ จุนอู (ยูอาอิน) เด็กหนุ่มที่ตัดสินใจโดดเรียนนั่งเล่นเกมอยู่ในอพาร์ทเมนท์ ต้องกลายเป็นวันที่เขาจะจดจำไปชั่วชีวิต เมื่อทั้งเมืองที่เขาอาศัยอยู่นั้น เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสลึกลับที่เปลี่ยนคนให้กลายเป็นซอมบี้ ด้านหนึ่งมันก็กลายเป็นความโชคดีในการโดดเรียนของ จุนอู ในคราวนี้ ที่ทำให้เขาไม่ต้องออกไปเผชิญหน้าเหล่าซอมบี้ แต่อีกด้านมันก็ทำให้เขาติดอยู่ในอพาร์ทเมนท์เพียงลำพัง ท่ามกลางเหล่าเพื่อนบ้านที่กลายเป็นซอมบี้กันไปหมดแล้ว

จุนอู ใช้ชีวิตผ่านไปแต่ละวันเพียงเพราะหวังว่าความช่วยเหลือจะมาถึง แต่ยิ่งเวลาผ่านไป จุนอู ก็เริ่มนึกถึงคำบ่นของแม่ ที่มักจะบอกให้เขาออกไปซื้อของมาตุนในตู้เย็น เมื่อในตอนนี้อาหารมันร่อยหลอลงไปทุกที ความหวังในการรอความช่วยเหลือก็ยิ่งลดลงไปทุกขณะ เมื่อดูเหมือนว่าในตอนนี้ ภายนอกก็กำลังเจอกับปัญหาเดียวกันหมด แล้วแบบนี้ จุนอู จะตัดสินใจอย่างไร จะไปตายเอาดาบหน้าหรือจะนอนรอจนกว่าความตายมันจะมาถึงคิวของตัวเอง

หนังซอมบี้จากเกาหลีอีกเรื่องหนึ่งที่ค่อนข้างมีกระแสความสนใจในไทย ซึ่งตัวหนังเรื่องนี้ผมก็ไม่รู้จะใช้คำอธิบายว่าอะไรดี คือหนังได้ไอเดียและ Matt Naylor มือเขียนบทมาจากหนังซอมบี้ฝรั่งเรื่อง Alone (2020) มันก็เลยมีอะไรคล้ายกันบ้าง ซึ่งตัวผมยังไม่เคยดูหนังเรื่อง Alone เต็ม ๆ มาก่อนเคยดูแต่ตัวอย่างหนังเท่านั้น เลยไม่ทราบว่ามันมีความแตกต่างหรือคล้ายกันจุดไหนบ้าง รีวิวนี้เลยจะขอกล่าวถึงเฉพาะหนังเรื่องนี้อย่างเดียวก็แล้วกันครับ

แน่นอนว่าจากที่เห็นในตัวอย่างทีแรก หลายคนคงพอดูออกว่าหนังไม่ได้คิดการใหญ่ ฉะนั้นใครที่ติดภาพฝูงห่าซอมบี้พุ่งเข้าโจมตีคนแบบใน Train to Busan และภาคต่อ Peninsula ก็ขอให้ลดความคาดหวังสเกลความใหญ่ความตื่นตาตื่นใจแบบนั้นได้เลยครับ เพราะหนังเรื่องนี้เน้นขายความลุ้นระทึก ตื่นเต้น จากข้อจำกัดของมนุษย์ในการเอาชีวิตรอด ไม่ว่าจะสถานที่ อาหาร การสื่อสารและระยะทาง ที่ตัวละครต้องฝ่าด่านซอมบี้ให้ได้เพื่อเอาชนะอุปสรรคที่ว่า 

ซึ่งหลังจากที่ผมดูจบบอกได้ว่าแม้ความสนุกตื่นเต้นมันจะไม่ได้พุ่งถึงขีดสุดอะไร แต่ถามว่าหนังทำได้ตามมาตรฐานหนังซอมบี้ที่สนุกซักเรื่องหนึ่งรึเปล่า ผมตอบได้เลยว่าหนังสนุกมีหลายฉากทำให้ลุ้นจนนั่งไม่ติด ในส่วนของซอมบี้ก็ดีไซน์ออกมาในแนวทางเดียวกัน กับใน Train to Busan ดูสยองขวัญ บิดเบี้ยว น่าขนลุกใช้ได้เลยครับ แล้วก็ แม้สเกลหนังจะเล็กแต่ในเรื่องเมคอัพเอฟเฟคของซอมบี้ ก็ออกมาดีไม่ไก่กา การออกแบบฉากจู่โจมของซอมบี้ ก็ทำได้ตื่นเต้นชวนให้คนดูเอาใจช่วยตัวละครได้ดีครับ 

ส่วนในเรื่องของนักแสดงในทีแรกที่เห็นแคส ยูอาอิน กับ พัคชินฮเย ผมก็คิดว่าหนังอาจจะเน้นขายความดราม่า เพราะเลือกนักแสดงสายนี้มารับบทนำ แต่เอาเข้าจริงแม้จะบอกได้ว่านักแสดงอย่าง ยูอาอิน จะทำออกมาได้ดีในส่วนของการแสดง แต่ด้วยข้อจำกัดเรื่องเวลาในหนัง มันก็น้อยเกินกว่าที่จะปูดราม่าให้ผู้ชมอินได้มากพอ ในส่วนดราม่าของหนังเลยบอกได้ว่ามันไปไม่สุด ด้วยข้อจำกัดเรื่องเวลาที่เป็นกำดักที่หนังสร้างขึ้นมาเอง แต่ส่วนที่ผมถูกใจ จะว่าถูกใจก็ไม่ใช่เสียทีเดียว เรียกว่าน่าสนใจคงจะใช่กว่าครับ กับเรื่องของคาแรคเตอร์ตัวละคร จุนอู ที่ ยูอาอิน รับบท และ ยูบิน ที่พัคชิยฮเย รับบทบาทนั้นครับ 

เมื่อหนังเลือกให้ จุนอู เป็นเด็กวัยรุ่นในแบบที่เรียกได้ว่า พร้อมจะสร้างวิกฤติซ้ำซ้อนให้กับตัวเองได้ตลอดเวลา เขาใช้ชีวิตอย่างไร้ความหมายผ่านไปวัน ๆ ไม่สนโลกไม่มีการวางแผนอะไร กระทั่งเกิดเหตุการณ์ซอมบี้ระบาดขึ้นมาก็แทบจะเรียกได้ว่า ไม่เหลือแรงบันดาลใจอะไรในการใช้ชีวิตเลย เมื่อต้องอยู่ตัวคนเดียว แต่พอได้เจอกับ ยูบิน ความหวังในการจะมีชีวิตอยู่ มันก็เลยกลับมาอีกครั้ง ตรงนี้ผมไม่แน่ใจนะว่าหนังจงใจสะท้อนชีวิตวัยรุ่นเกาหลีหรือเปล่า แต่ก็ดูมีแนวโน้ม เพราะว่าหนังเองก็เลือกหยิบเอากิมมิกของการสื่อสารในยุคปัจจุบันมาใช้ด้วย พร้อมทั้งแอบใส่ความตลกร้ายของเทคโนโลยีเข้ามาอีก อย่างตอนที่ จุนอู ไม่สามารถรับข่าวสารจากทีวีได้แล้ว เขาจำเป็นต้องฟังจากวิทยุแทน แต่เจ้ากรรมหูฟังสมัยนี้ดันเป็นแบบไร้สาย เลยไม่มีแจ็คเสียบกับช่องหูฟัง หรือการที่เครือข่ายโทรศัพท์ล่ม ก็จำเป็นต้องหันมาใช้วิทยุสื่อสารทดแทน การที่นางเอก ยูบิน มีสกิลการเอาชีวิตรอดได้ดีในช่วงเวลาคับขัน โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยี อะไรต่าง ๆ เหล่านี้ หากจะมองว่าหนังหยิบเอามาสะท้อน การใช้ชีวิตของคนในปัจจุบันมันก็คงพอมองได้ครับ

ยิ่งกับการที่หนังออกมาในช่วงโรคระบาด โควิด – 19 ด้วยแล้ว ความห่างระหว่าง จุนอู กับ ยูบิน มันยิ่งสะท้อนได้อย่างชัดเจนเลยว่า มนุษย์เรานั้นยังไงก็เป็นสัตว์สังคมที่ต้องอยู่ร่วมกัน ในขณะที่ยังมีคนล้อมรอบอยู่ จุนอู ก็ไม่ได้เห็นคุณค่าอะไรใช้ชีวิตมาลำพังคนเดียว แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องอยู่ตัวคนเดียวจริง ๆ แล้ว มันคนละเรื่องกันเลย เหมือนกับฉากที่มีแสงเลเซอร์จาก ยูบิน ยิงมาที่ตัวเขา นาทีนั้นความอยากตายมันก็หายไปจากหัวสมองเลย

สรุปแล้ว #Alive (2020) เป็นหนังซอมบี้ที่ผมบอกได้ว่าสนุก แต่อย่าคาดหวังเยอะเพราะหนังสเกลเล็กและเน้นขายข้อจำกัดของตัวละคร ในพาทดราม่าก็ทำออกมาได้ไม่สุด แต่ในภาพรวมถือว่าผ่านมาตรฐานหนังซอมบี้ที่ดูเพื่อความบันเทิง บวกด้วยประเด็นต่าง ๆ ในหนังที่ผมกล่าวไป แม้จะไม่ได้ขับเน้นออกมาชัดเจนจับต้องได้มากนัก แต่ก็ถือว่าเป็นส่วนที่แต่งแต้มสีสันความแปลกใหม่ให้กับหนังได้พอสมควรครับ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Review: Bokura wa Koi ga Hetasugiru (2020)

  Bokura wa Koi ga Hetasugiru (2020) พวกเราน่ะห่วยเรื่องความรัก Director:  Sakamoto Eiryu Screenwriter:  Uchida Hiroki       ฟุจิวาระ ฮานะ (...