One In A Hundred Thousand (2020) ใจดวงนี้แสนรักเธอ
#ปีนรั้วรีวิว #Drama #Romance Director: Koichiro Miki ริโนะ ซากุรางิ (ไทระ ยูนะ) เด็กนักเรียนมัธยมปลายที่ใช้ชีวิตออกห่างจากผู้คน เพื่อนสนิทของเธอมีเพียง ชิฮิโระ ทาจิบานะ (มิโอะ ยูกิ) ซึ่งมีแฟนเป็นนักกีฬา เคนโด้ ของโรงเรียนอย่าง โช ฮินาเสะ (จิน ชิราสุ) แต่เหตุผลที่ทำให้ ริโนะ ติดสอยห้อยตาม ชิฮิโระ ไปสนามซ้อมเคนโด้บ่อยครั้ง ไม่ใช่เพียงแค่การตามเพื่อนไปนั่งเฝ้าแฟนเท่านั้น เมื่อ ริโนะ เองก็อยากเฝ้ามอง เร็น คิริทานิ (อลัน ชิราฮามะ) หัวหน้าชมรมเคนโด้คนที่เธอแอบชอบใกล้ ๆไม่ว่าเพื่อนซี้จะเชียร์อัพแค่ไหน ริโนะ ก็ไม่กล้าเอ่ยปากบอกความในใจออกไปสักครั้ง ส่วนหนึ่งมันก็เป็นเพราะว่ารอยแผลเป็นขนาดใหญ่ที่ต้นขาของเธอ มันกลายเป็นปมที่มักจะถูกเพื่อนล้อมาตั้งแต่เด็ก ริโนะ ก็เลยกลัวว่าตัวเองจะถูกมองด้วยสายตาแบบเดียวกันจากคนที่แอบชอบ กระทั่งเย็นวันหนึ่งภารกิจจับคู่ให้กับ ริโนะ ของเพื่อนซี้ก็สำเร็จ ทำให้ ริโนะ กัน เร็น ได้มีโอกาสเปิดเผยถึงความรู้สึกที่มีต่อกัน
เพียงแต่ความสุขที่เพิ่งเข้ามามันกลับผ่านไปไวเหลือเกิน เมื่อใครจะไปคิดว่ารอยแผลเป็นต้นขาที่ ริโนะ กังวลจนปิดกั้นตัวเองมาตลอด จะกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย หากเทียบกับข่าวร้ายที่กำลังจะได้เจอ เมื่อเธอเริ่มมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามต้องการ แม้ผลการวินิจฉัยในทีแรกจะยังไม่ชัดเจน แต่อาการของเธอก็เริ่มเกิดบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ ความกังวลเริ่มก่อตัวขึ้นทั้งจากตัวเธอและคนรอบข้าง รวมถึง เร็น ความรักคครั้งแรกที่เพิ่งลงตัว แล้วเรื่องระหว่างเธอกับเขามันจะไปต่อได้อย่างไร
หนังสร้างจากมังงะซึ่งผมไม่เคยอ่านฉบับมังงะมาก่อน เลยขอว่ากันที่ตัวหนังล้วน ๆ เลยนะครับ เป็นหนังรักโรแมนติกจากญี่ปุ่นอีกหนึ่งเรื่อง ที่เลือกใช้พล็อตตัวละครเอกป่วยด้วยโรคแปลกหายาก ในหนังเรื่องนี้หยิบเอาโรค ALS (Amyotrophic Lateral Sclerosis) หรือว่า โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงมาใช้ ตอนดูในทีแรกผมก็แอบคิดว่าสองตัวละครเอก เพิ่งเปิดใจรับรู้ความรู้สึกของกันและกัน มันจะเป็นจุดอ่อนของหนังหรือเปล่าที่อาจทำให้คนดูไม่อิน เพราะตัวละครแทบไม่มีประสบการณ์ร่วมหรือความผูกพันต่อกันเลย แต่ด้วยความที่อาการของโรคไม่ได้เกิดขึ้นเฉียบพลัน แต่ความเจ็บป่วยจะค่อย ๆ สะสมความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ มันก็เลยเป็นการแก้ไขโจทย์ยากตรงนี้ไปโดยปริยาย เมื่อหนังให้ตัวละครได้มีโอกาสสร้างประสบการณ์ร่วมกัน ในขณะเดียวกันกับที่อาการของโรคค่อย ๆ รุนแรงมากขึ้น
ในตอนที่ เร็น เปิดใจกับ ริโนะ เขาบอกว่าชอบทุกอย่างที่เธอเป็น แม้รู้ว่าเธอมีรอยแผลเป็นที่พยายามปกปิดเอาไว้ และรู้ว่าเธอก็เคยมีมุมมองด้านลบกับคนอื่น ในช่วงแรกที่เริ่มความสัมพันธ์ได้ไม่นาน มันก็เลยมีความท้าทายอยู่เหมือนกัน ว่าเขาจะทำได้ตามที่พูดหรือเปล่าเมื่อรู้ว่า ริโนะ กำลังป่วย แต่ผมว่าในประเด็นนี้ เอาจริงด้วยความที่หนังเป็นเรื่องราวความรักหนุ่มสาว มันก็ไม่ถึงขนาดที่ว่าถ่ายทอดในมุมเหนื่อยยากแสนเข็ญ เหมือนกับหนังพล็อตคล้าย ๆ กัน ที่เล่าในมุมผู้ใหญ่อย่างเช่น The 8-Year Engagement บันทึกน้ำตา รัก 8 ปี อะไรอย่างนั้น
แอร์ไทม์ส่วนใหญ่ของหนังเรื่องนี้ จึงเล่าการสร้างประสบการณ์ร่วม ในมุมมองของการจะทำยังไงเพื่อให้ ริโนะ สามารถมีความทรงจำที่ดีได้ ในตอนที่อาการยังไม่หนักยังสามารถเคลื่อนไหวได้ แน่นอนว่าพอเป็นการเล่าในมุมความรักหนุ่มสาว มันก็จะเป็นเรื่องราวอะไรต่าง ๆ ที่มันเป็นครั้งแรกของชีวิต อย่างการออกเดทครั้งแรก จูบครั้งแรกและครั้งแรกอื่น ๆ อะไรทำนองนั้น ซึ่งพอผ่านการสร้างประสบการณ์ร่วมมาแล้ว หนังก็จะเข้าสู่โหมดที่จะทำให้ ริโนะ ปรับใจยอมรับเมื่อต้องอยู่ร่วมกับโรคร้าย แล้วก็เผชิญหน้ากับมันอย่างมีสติ
อารมณ์โดยรวมของหนังแม้จะเป็นเรื่องของตัวละครที่เผชิญความเจ็บป่วย แต่ก็ไม่ได้เล่าออกมาอย่างฟูมฟายอะไร คือ มันอดที่จะมีความเศร้าบ้างไม่ได้อยู่แล้ว แต่ท้ายที่สุดตัวละครก็จะถูกพลักดัน ด้วยกำลังใจการคนรอบข้างให้สามารถไปต่อได้ แล้วนอกจากส่วนของความรักหนังก็ยังมีพาทความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนแทรกเข้ามาเล็กน้อย เมื่อในตอนแรก ริโนะ มักถูกเพื่อนในโรงเรียนล้อเลียนเรื่องแผลเป็น แถมยังถูกกลุ่มเพื่อนผู้หญิงไม่ชอบหน้า จากความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับเร็น
ใจความที่หนังหยิบเอามาสื่อสาร ผมคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องคุณค่าของประสบการณ์ชีวิตในช่วงวัยรุ่น ที่คนเราจะมีประสบการณ์อะไรต่าง ๆ เป็นครั้งแรกก็ในวัยนี้ครับ ไม่ว่าจะเรื่องเกี่ยวกับเพื่อน ความใฝ่ฝัน หรือว่าความรัก ในตอนแรกผมนึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมถึงใส่ปม เกี่ยวกับรอยแผลเป็นที่ต้นขาของ ริโนะ เข้ามา พอได้นึกย้อนดูดี ๆ ก็พบว่า เพราะรอยแผลนั้นมันทำให้เธอไม่มีความมั่นใจ ปิดกั้นตัวเองจากเพื่อนและการมีความรัก ซึ่งมันเป็นการเสียโอกาสในช่วงชีวิตวัยรุ่น ก่อนที่หนังจะย้ำให้เห็นความสำคัญของช่วงเวลานี้ ด้วยความเจ็บป่วยที่มาอย่างไม่คาดคิด ริโนะ ก็เลยพยายามใช้โอกาสที่เหลือน้อยลงเรื่อย ๆ ในการสร้างความทรงจำที่ดีก่อนจะไม่มีโอกาส
ในช่วงท้ายรีวิวผมขอสรุปถึงหนังเรื่องนี้ว่า แม้จะเป็นหนังโรแมนติก ดราม่า ที่เหมือนจะมีเนื้อหาเศร้า กระนั้นก็อย่างที่ผมบอกไปว่าด้วยมันเป็นเรื่องราวความรักหนุ่มสาว การนำเสนอมันเลยไม่ได้ดราม่าชวนหน่วงอะไร แต่ด้านหนึ่งพอเนื้อหามันไม่ได้มีอะไร มากกว่าการสร้างประสบการณ์ร่วมระหว่างตัวละคร หนังมันก็เลยออกมากลาง ๆ ไม่สุดไปทางใดทางหนึ่ง จะดึงดราม่าโศกเศร้าก็ไม่ถึง จะดึงเข้าโรแมนซ์ชวนฟินก็ไม่ใช่อีกครับ เป็นหนังที่จัดอยู่ในกลุ่มดูได้เรื่อย ๆ เพลิน ๆ พาคนดูไปซึมซับเรื่องราวประสบการณ์ร่วมระหว่างตัวละครครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น