วันจันทร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2568

Review: Survival Family (2016)

 Survival Family (2016) ครอบครัวเราต้องรอด

#ปีนรั้วรีวิว #Adventure #Family #Comedy Director: Shinobu Yaguchi
      หนังเล่าเรื่องราวของครอบครัวซูซุกิที่อาศัยอยู่ในโตเกียว หัวหน้าครอบครัวอย่าง โยชิยูกิ (Fumiyo Kohinata) เป็นมนุษย์เงินเดือน ที่ขยันขันแข็งตั้งหน้าตั้งตาทำแต่งาน ส่วนแม่บ้านอย่าง มิทสึเอะ (Eri Fukatsu) เป็นแม่บ้านเต็มเวลา ที่ออกจะไม่ค่อยถนัดกับงานบ้านสักเท่าไหร่ ยูอิ (Wakana Aoi) ลูกสาววัยมัธยมปลายที่พยายามตามแฟชั่นของเพื่อน และ เคนจิ (Yuki Izumisawa) ลูกชายคนโตหนุ่มมหาลัย ที่กำลังแอบชอบสาวเพื่อนร่วมชั้น ครอบครัว ซูซุกิ ที่ใช้ชีวิตคนเมืองอย่างปรกติสุขมาตลอด กลับได้เจอกับเรื่องท้าทายในเช้าวันหนึ่ง

เมื่อไฟฟ้าเกิดดับติดต่อกันเป็นเวลานานหลายวัน แล้วมันอาจจะไม่ใช่แค่การดับทั้งเมือง แต่อาจจะหมายถึงทั้งโลกด้วยซ้ำ จากที่เหตุการณ์เกิดขึ้นมาใหม่ ๆ ครอบครัว ซูซุกิ ยังสามารถ Romanticize ออกมายืนริมระเบียงกินลมชมดาวกันได้ แต่ยิ่งนานวันไปความลำบากจากการไม่มีไฟฟ้าใช้มันเริ่มส่งผลชัดเจนมากขึ้น หัวหน้าครอบครัวอย่าง โยชิยูกิ เลยตัดสินใจจะพาครอบครัวไปที่เมืองคาโกชิม่า ซึ่งเป็นบ้านของพ่อตา เพียงแต่มันจะไม่เป็นปัญหาอะไรเลยหากจุดหมายที่ว่า ไม่ได้อยู่ห่างไกลออกไป 900 กิโลเมตร

หนังที่สอดแทรกแง่คิดการใช้ชีวิตและความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัว กับเหตุวิกฤติที่คนในยุคปัจจุบัน อาจจินตนาการไม่ออกว่าเราจะอยู่รอดกันได้ยังไงกัน หนังเป็นผลงานการกำกับของ ชิโนบุ ยากุชิ ที่เคยมีผลงานผ่านตากันมาบ้างอย่าง Wood Job! ปี 2014 และ Swing Girls ปี 2004

หนังตลกที่อาจจะไม่ถึงกับเรียกว่าตลกร้าย แต่มันก็เป็นความตลกที่ขำไม่ค่อยออกเท่าไหร่ เมื่อภาพของหนังในช่วงแรกที่พูดถึงครอบครัว ซูซุกิ เป็นภาพที่จะว่าไปก็สะท้อนถึงครอบครัวทั่วไป ซึ่งภาพที่สื่อออกมามันเป็นการบอกว่า พวกเขามีแต่สิ่งที่ไม่จำเป็นกับการดำรงค์ชีวิต โยชิยูกิ ที่หัวล้านต้องติดวิกผมไว้ตลอด กระทั่งไฟฟ้าดับทั้งโลกต้องออกเดินทางไกล เขาก็ยังไม่วายติดวิกผมบนหัว อพาร์ทเมนท์ที่เขาอาศัยอยู่ ห่างจากที่ทำงานเพียง 1 สถานี แต่เจ้าตัวก็ยังนั่งรถไฟฟ้าไปทำงาน ส่วน มิทสึเอะ แม่บ้านที่ไม่ถนัดงานบ้าน แค่ต้องแกะกระหล่ำปลีหรือหั่นปลาที่ตายแล้วก็ยังทำไม่ได้ ต้องเตรียมข้าวของเพื่อออกเดินทางไกล เธอก็เตรียมแต่อะไรที่มันทำยุ่งยากต้องหุง ต้องต้มถึงจะได้กิน

ลูกสาวคนเล็กอย่าง ยูอิ จะเดินทางไกลก็ยังแต่งตัวเต็มยศ ขนไปแต่เสื้อผ้าที่ไม่เข้ากับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ขนาดขนตาปลอมเธอก็ยังติดหน้าก็ยังแต่ง ส่วน เคนจิ ลูกชายคนโตก็ยังพกโทรศัพท์ติดตัวทั้งที่มันใช้การไม่ได้ ซึ่งหนังก็ยั่วล้อตัวเองตั้งแต่ต้น ด้วยการให้ตัวละครพูดเองเลยว่า พวกเขานำสิ่งที่ไม่จำเป็นติดตัวไปด้วย ตั้งแต่ก้าวเท้าออกจากบ้านสิ่งที่คนดูได้เห็น จึงเป็นการยั่วล้อจิกกัดตัวเองอยู่ตลอดการเดินทางของครอบครัวซูซุกิ เพราะตลอดการเดินทางผู้ชมอย่างเราจะเห็นเลยว่า การใช้ชีวิตที่ไม่มีไฟฟ้ามันยากลำบากก็จริง แต่มันก็ไม่น่าทุลักทุเลแบบเดียวกับที่ครอบครัวซูซุกิเจอ ตลอดเส้นทางที่พวกเขาผ่านไป ครอบครัวนี้ต้องเจอกับสารพัดเรื่องราวความวายป่วง แต่ในขณะเดียวกันครอบครัวอื่นที่พวกเขาพบเจอระหว่างทาง คนเหล่านั้นกลับไม่ได้อยู่ในสภาพเดียวกับครอบครัว ซูซุกิ

อย่างที่ผมบอกว่าหนังไม่ได้มีมุมมองแบบ Romanticize ที่จะมาบอกว่า ไม่มีไฟฟ้าคนเราก็ยังสามารถอยู่ได้สบาย ๆ ในน้ำมีปลาในนามีข้าว น้ำในคลองก็สะอาดดื่มได้อะไรแบบนั้น เพราะมีหลายส่วนที่มันลำบากจริง ๆ หนังก็บอกว่า ใช่ ถึงมันจะลำบาก แต่คนเราก็ยังพอใช้ชีวิตอยู่ได้ เหมือนกับคนอื่น ๆ ที่ครอบครัว ซูซุกิ พบเจอระหว่างเดินทาง แค่คนเราต้องละทิ้งความสบายและบางอย่างที่ไม่จำเป็นออกไป สิ่งอำนวยความสะดวกในปัจจุบัน มันก็ดีตรงที่ทำให้คุณภาพชีวิตของคนเราดีขึ้น สะดวกสบายขึ้น อันนี้เป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ แต่ในอีกด้านมันก็ทำให้คนเราไปใส่ใจกับเรื่องที่ไม่จำเป็นกับชีวิตมากขึ้นเช่นกัน

เหมือนที่พวกเขาห่วงวิกผม ห่วงเสื้อผ้าและขนตาปลอม ห่วงโทรศัพท์ที่เก็บภาพคนที่ไม่ได้รักเขาเอาไว้ ห่วงกระทะหม้อหุงข้าว ทั้งที่การเดินทางของพวกเขาไม่ใช่การไปปิกนิก แต่พวกเขากลับไม่ห่วงเรื่องผ้าห่ม ไม้ขีดไฟ อาหารที่ต้องกินตลอดการเดินทาง แล้วก็ที่สำคัญที่สุดอีกอย่างก็คือ แผนการเดินทางนี่แหละครับ เพราะแค่การอ่านแผนที่สำหรับเด็กประถมพวกเขายังอ่านกันไม่เป็นเลย (อยากจะบอกว่ารวมถึงผมด้วยนะครับ ฮ่าฮ่า) แต่ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของครอบครับ ซูซุกิ สำหรับผมแล้ว คงจะเป็น การตัดสินใจในการออกเดินทางไกลนี่แหละ เพราะหากเป็นเรื่องจริง ที่ไม่ได้เล่าเรื่องราวแฟนตาซีให้กลายเป็นเรื่องบันเทิง การเดินทาง 900 กิโลเมตร ด้วยการปั่นจักรยาน บนโลกที่ไม่มีไฟฟ้าและอากาศตอนกลางคืนที่หนาวเหน็บ บทสรุปของเรื่องจริงอาจจะไม่ได้แฮปปี้เอนดิ้งเหมือนกับในหนังก็ได้ครับ

เป็นหนังที่ผมคิดว่าวิธีการสื่อสารคล้าย ๆ กับเรื่อง Wood Job ผลงานก่อนหน้าของผู้กำกับ ยากุชิ นั่นแหละครับ ที่ไม่ได้นำเสนออย่างโลกสวย Romanticize แต่ก็ไม่ถึงกับให้ความรู้สึกว่ามันมีมุมมองเป็นลบหรือเลวร้ายอะไร อย่างใน Wood Job ก็เล่าเรื่องราวของคนตัดไม้ ที่ฟังดูเผิน ๆ เหมือนจะไม่ดีต่อธรรมชาติ แต่มันกลายเป็นว่าในขณะเดียวกันพวกเขาเหล่านั้น ก็คือคนรักษาสมดุลระหว่างการตัดไม้และดูแลป่า ส่วนใน SURVIVAL FAMILY เรื่องนี้ก็เล่าวิกฤติโลกที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ แน่นอนว่ามันกลายเป็นความลำบากลำบนของผู้คนในปัจจุบัน ซึ่งหนังสื่อสารในมุมกลับด้วยการบอกว่า ถ้าพยายามปรับตัวเหลือเพียงสิ่งที่จำเป็นต่อชีวิตจริง ๆ แม้จะมีความลำบากในการดำเนินชีวิต แต่คนเราก็พออยู่ได้ เอาจริงจะว่าไปคนเราก็เพิ่งมีไฟฟ้าใช้ไม่กี่ร้อยปีนี้เอง แถมยังมีบางพื้นที่ในปัจจุบัน ที่ไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึงเลยด้วยซ้ำครับ

หากจะให้สรุปถึงหนังเรื่องนี้ว่ายังไง ผมคงจะบอกว่า สิ่งปรุงแต่งในชีวิตของคนเราที่ไม่ได้จำเป็นต่อการดำรงชีวิตจริง ๆ มันก็เหมือนกับผงชูรสนั่นแหละครับ มันไม่มีความจำเป็นต้องใส่ในอาหาร แต่ถ้าใส่มันก็ช่วยขับเน้นให้อาหารมันออกรสชาติได้มากกว่า หลายสิ่งหลายอย่างที่มันไม่จำเป็นในการดำรงชีวิตก็เช่นกัน แม้เราไม่จำเป็นต้องมีมันก็ได้ แต่ถ้ามีมันก็ช่วยอำนวยความสะดวกสบาย ทำให้คุณภาพชีวิตของคนเราดีขึ้น ส่วนหนังเรื่องนี้มันก็เหมือนเป็นการเตือนสติ ให้เราเห็นภาพชัดเจนขึ้น ว่าที่สุดแล้วอะไรมันจำเป็นต่อการดำรงชีวิตจริง ๆ ก็เท่านั้นเอง สารภาพว่าเป็นหนังที่เขียนรีวิวด้วยความระมัดระวังพอสมควร ยิ่งกับการเป็นยุคโควิคอาจจะโดนดราม่าเรื่อง Romanticize วิกฤติเอาได้ง่าย ๆ เลยมีการย้ำอยู่หลายครั้งในบทความเหมือนร้อนตัว ฮ่าฮ่า

#MovieReview #รีวิวหนัง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Review: Switched (2018)

 Switched (2018) ผลัดกันเป็นสาวป๊อป       “คนไม่สวยผิดเสมอ” ขออนุญาตจั่วหัวด้วยคำ ๆ นี้เลย ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงผู้ชายหรือเพศไหนก็ตาม เกิดมาหน...