วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2564

Review: Five Feet Apart (2019)

 Five Feet Apart (2019) ขออีกฟุตให้หัวใจเราใกล้กัน

#ปีนรั้วรีวิว #Drama #Romance Director: Justin Baldoni
      สเตลล่า (Haley Lu Richardson) สาวน้อยที่ใช้ชีวิตเข้าออกโรงพยาบาลเหมือนบ้านหลังที่สอง เธอป่วยเป็นโรค CF (cystic fibrosis) ซิสติกไฟโบรซิส โรคเกี่ยวกับปอดที่อันตรายถึงชีวิต หากเกิดการติดเชื้ออย่างรุนแรงขึ้นมา โรคที่ยังไม่มียารักษาให้หายขาด ทำได้เพียงบรรเทาอาการของโรค เพื่อรอการปลูกถ่ายปอดใหม่เท่านั้น ที่เหมือนเป็นตลกร้ายของโรคนี้ก็คือ สามารถเข้าใกล้ผู้คนปรกติที่ร่างกายแข็งแรงได้ แต่กลับไม่สามารถอยู่ใกล้หรือสัมผัส ผู้ป่วยโรค CF เหมือนกันใกล้กว่าระยะ 6 ฟุตได้ เพราะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ

แล้ววันหนึ่ง สเตลล่า ก็ได้พบกับ วิล (Cole Sprouse) หนุ่มผู้ป่วยโรค CF ที่ดื้อดึงหัวรั้น ไม่ยอมดูแลอาการป่วยของตัวเอง ซ้ำยังชอบแหกกฎข้อห้ามต่าง ๆ ตลอดเวลาที่อยู่ในโรงพยาบาล ซึ่งเรื่องที่ว่าเป็นที่ขัดใจของ สเตลล่า เพราะเธอเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ จึงไม่สามารถทนเห็นใครทำตัวแหกกฎระเบียบได้ ในที่สุดแล้วทั้งสองคนจึงทำข้อตกลงกันว่า วิล จะต้องทำการรักษาตามโปรแกรมที่เธอกำหนดไว้ ส่วน สเตลล่า จะยอมทำตามคำขอบางอย่างของเขาให้เป็นการตอบแทน

***เปิดเผยเนื้อหาบางส่วน***
***

      หนังโรแมนติก ดราม่า ความรักที่เกิดท่ามกลางความเจ็บป่วย ขณะที่ดูหนังเรื่องนี้แล้วรู้สึกได้เลย ว่าประโยค “การไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ” มันโคตรจะจริง เพราะการใช้ชีวิตอยู่กับโรคเรื้อรัง ที่รักษายาก หรือไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ มันสุดจะทรมาน ต่อร่างกายที่ต้องรับสารพัดการรักษา ทั้งการผ่าตัด การใช้ยาที่อาจเกิดผลข้างเคียง ความลำบากในการใช้ชีวิต จนเกิดอีกปัญหาตามมาคือ สภาพจิตใจ ที่ต้องทนรับกับสภาพความเจ็บป่วยของตัวเอง

ในทีแรกหนังทำเหมือนตัวละครเอก สเตลล่าและวิล เป็นสองขั้วที่แตกต่างกัน เหมือนกับว่า สเตลล่า เองสามารถทำใจยอมรับกับอาการป่วยได้ แต่ วิล ไม่สามารถทำใจได้อย่างเธอ ถึงได้ปล่อยให้ชีวิตล่องลอยไม่พยายามรักษา จนหนังดำเนินเรื่องไปถึงจุดหนึ่งที่เปิดเผยเรื่องราวบางอย่างออกมา จึงทำให้รู้ว่าการที่ สเตลล่า กลายเป็นคนย้ำคิดย้ำทำ พยายามทุกทางเพื่อยืดชีวิตของตัวเองมันมีสาเหตุ แต่ด้านหนึ่งเธอเองก็เจ็บปวดกับการมีชีวิตอยู่ของตัวเองเช่นกัน

ส่วน วิล เองหากจะบอกว่าในทีแรกเขาถอดใจในการมีชีวิตอยู่ไปแล้ว ก็คงไม่ห่างใกล้นัก เพราะตัวเขาเองขาดแรงบันดาลใจในการมีชีวิต เมื่อครอบครัวก็ไม่สมบูรณ์ ชีวิตก็ไม่สามารถทำอะไรตามใจตัวเองได้เพราะความเจ็บป่วย กระทั่งฟ้าเล่นตลกให้เขาได้มาเจอกับ สเตลล่า ผู้หญิงที่สดใส สวนทางกับความเจ็บป่วยที่เธอเจอ แต่ความรักครั้งนี้ก็ดันมีความเสี่ยง “ความเสี่ยง” ที่ว่าหากตัดเรื่องความเจ็บป่วยออกไป คงพูดได้ว่า “ความรัก” มันก็เท่ากับ “ความเสี่ยง” นั่นแหละ เพราะการจะรักใครสักคน บางทีเราก็เลือกไม่ได้นะว่าจะรักกับคนไหน

เอาแค่การรักใครสักคนมันก็เสี่ยงแล้วล่ะ ว่าเขาจะรักเราตอบไหม ส่วนความ “เสี่ยง” ของหนังเรื่องนี้ก็คือการที่ สเตลล่ากับวิล ที่เป็นคนป่วยอยู่ ทั้งสองคนจะตัดสินใจอย่างไร เมื่อการรักกัน มันไม่ใช่แค่มองแทบไม่เห็นอนาคต แต่ยังรวมถึงมันอาจเป็นการทำร้ายกัน หากพวกเขาอดใจไม่ไหวเข้าใกล้เกินระยะต้องห้าม หรือความรักของอีกหนึ่งคน โพ (Moises Arias) อีกหนึ่งตัวละคร ที่มีความรักแต่ไม่กล้าเสี่ยงรับใครเข้ามาในชีวิต

อีกประเด็นหนึ่งของหนังที่สื่อสารออกมาชัดเจน พูดในเรื่องเดียวกับหนัง Tonight, At Romance Theater (2018) รักเรา จะพบกัน ก็คือ ความรักกับการใกล้ชิด การสัมผัส ที่มักมาเป็นของคู่กัน แต่หากรักกันแล้วไม่สามารถใกล้ชิด สัมผัส กอด จูบ แสดงความรักต่อกันทางกายภาพได้ แล้วความรักที่ว่ามันจะถูกออกแบบมาในรูปแบบไหน แม้ดูหนังจะให้บทสรุปต่างจาก Tonight, At Romance Theater (2018) แต่สุดท้ายแล้วการกระทำที่ว่า ตัวละครก็ทำบทพื้นฐานของความรักเหมือนกันอยู่ดี

สรุปแล้ว Five Feet Apart (2019) ขออีกฟุตให้หัวใจเราใกล้กัน เป็นหนัง รัก โรแมนติก ดราม่า ที่จากจุดเริ่มต้นของความรัก อาจจะยังทำให้อินได้ไม่เท่าไหร่ แต่เมื่อความสัมพันธ์ของตัวละครดำเนินไป คนดูจึงได้รู้ว่าภายในใจของพวกเขามีเรื่องราวมากมาย ที่คนอย่างพวกเขาเท่านั้นจะเข้าใจกันได้ การตกหลุมรักมันจึงไม่ใช่เรื่องยากเลย เนื้อหาของหนังสถานการณ์ของตัวละคร ไม่มีอะไรมากไปกว่าชีวิตประจำวันที่ใช้อยู่ในโรงพยาบาล ใครคิดจะดูเลยต้องทำความเข้าใจนิดนึงว่า จะไม่ได้เห็นความฟินอะไรจากหนังรักเรื่องนี้

ขอบคุณภาพประกอบจากภาพยนตร์: Five Feet Apart (2019)

ฝากช่องยูทูปรีวิวหนังช่องเล็ก ๆ ด้วยครับผม:  https://www.youtube.com/channel/UCo1Txn08XONf92m_kngztWQ 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Review: #Alive (2020)

 #Alive (2020) คนเป็นฝ่านรกซอมบี้ Screenwriter & Director:   Jo Il Hyung       ตั้งแต่ทั่วโลกได้รู้จักกับ Train to Busan ก็ต้องบอกว่า ไม...