วันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2567

Review: Drawing Closer (2024)

Drawing Closer (2024) วาดรัก…จนกว่าจะหมดเวลา

#Drama #Romance Director: Takahiro Miki
Writer: Aoi Morita (novel), Tomoko Yoshida
      อากิโตะ ฮายาซากะ (Ren Nagase) นักเรียนมัธยมปลายที่เหมือนฟ้าฝ่าลงกลางหัว เพราะตอนนี้ที่แค่อายุสิบกว่าปีก็ได้รับข่าวร้ายว่าตัวเองป่วย เหลือเวลาใช้ชีวิตอีกเพียงแค่ 1 ปีเท่านั้น ในตอนที่กำลังยืนคิดทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นซ้ำไปมาบนดาดฟ้าโรงพยาบาล อากิโตะ ก็ได้พบกับ ฮารุนะ ซากุไร (Natsuki Deguchi) สาวน้อยที่กำลังนั่งวาดรูปอยู่ที่นั่น อากิโตะ ที่เดินเข้าไปทักทายจึงได้รู้ว่า ระยะเวลา 1 ปีของตัวเองดูจะมากเสียด้วยซ้ำ เมื่อเทียบ ฮารุนะ ที่เหลือเวลาเพียงแค่ 6 เดือน เธอกลับสดใสดูไม่เหมือนกับคนที่จะอยู่ได้อีกไม่นาน ทำให้ อากิโตะ ไม่กล้าบอกออกไปว่าตัวเองก็เหลือเวลาอีกไม่มากเช่นกัน จากวันนั้น อากิโตะ เลยกลายเป็นแขกเยี่ยมไข้ขาประจำของห้อง 231 ห้องผู้ป่วยของ ฮารุนะ

หนังญี่ปุ่นที่หยิบเอาพล็อตความเจ็บไข้ได้ป่วยของตัวละครเอกมาเล่าอีกครั้ง หลังจากที่ดูจบแล้วถึงจะพูดว่าหนังเอาดราม่าความเจ็บป่วยมาเล่าซ้ำอีกก็จริง แต่หนังเรื่องนี้สามารถหยิบมุมที่แตกต่างจากเรื่องอื่นมานำเสนอได้ ด้วยความที่หนังเรื่องอื่นมักจะหยิบเอาดราม่าน้ำตานอง ความรันทดชวนหน่วงปวดตับช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตไปจนถึงความสูญเสียมาขยี้เรียกน้ำตา Drawing Closer เลือกที่จะหยิบเอามุมคิดว่าตัวผู้ป่วยที่รู้นาฬิกาชีวิตของตัวเองแล้ว การแสดงออกที่ดูเหมือนหมดอาลัยตายอยาก หรือบางทีอาจจะอยากไปเองไม่รอโรคเสียด้วยซ้ำ อันที่จริงแล้วผู้ป่วยไม่ได้อยากจะให้เวลานั้นมาถึงเร็ว ๆ หรอก กลับกันพวกเขาอยากจะใช้เวลาที่เหลือกับคนสำคัญ

การที่คนหนึ่งป่วยมาทั้งชีวิตเหลือเวลาเพียงครึ่งปี กับอีกคนที่เพิ่งรู้ว่าตัวเองเหลือเวลาเพียงปีเดียวได้มาพบกัน เลยเหมือนคนนึงที่มีประสบการณ์ผ่านมาก่อนได้เป็นไลฟ์โค้ชให้กับคนมาใหม่ ส่วนอีกคนได้กำลังใจเมื่อเห็นว่าคนที่เหลือเวลาแค่ครึ่งปียังตั้งใจใช้ช่วงเวลาสุดท้ายให้ดีที่สุด ชื่อหนังภาษาไทย วาดรัก…จนกว่าจะหมดเวลา เลยกลายเป็นชื่อที่สื่อความหมายได้ตรงกับเนื้อหา ไม่ว่าจะเหลือเวลาอีกเท่าไหร่ก็รักให้ถึงที่สุด ใช้ชีวิตไปให้ถึงที่สุดเท่าที่ทำได้จนกว่าเวลานั้นจะมาถึง

จะใช้คำว่าหนังเล่าถึงความสวยงามในช่วงสุดท้ายของชีวิต ไม่รู้จะเหมาะหรือเปล่าสำหรับหนังเรื่องนี้ เพราะคนเราคงไม่มีใครอยากป่วยหรือมีช่วงเวลาโรแมนติกตอนใกล้ตาย ถ้าให้เปรียบก็คงเหมือนดอกไม้ไฟที่ ฮารุนะกับอากิโตะ นัดดูด้วยกันนั่นแหละ ถึงเป็นจะเป็นความรักที่สว่างวาบไม่นานเหมือนกับดอกไม้ไฟ แต่อย่างน้อยช่วงเวลาที่สว่างที่สุดแม้ไม่นานมันก็สวยงามอยู่ดี

นอกจากเรื่องราวความรักของ ฮารุนะกับอากิโตะ แล้ว ยังมีความสัมพันธ์ของ ฮารุนะกับอายากะ มิอุระ (Mayuu Yokota) เพื่อนเคยสนิทตั้งแต่วัยเด็ก อาจเป็นดราม่าที่ไม่ได้ใหม่อะไร แต่พอถึงเวลาหนังเอามาเล่าก็ได้ผลอยู่นะ เรียกน้ำตาได้เลย เป็นความคิดหนึ่งที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยที่พยายามกันคนอื่นออกไปจากชีวิต เพราะคิดว่าหากห่างกันไปแล้วก็ไม่ต้องมาเสียใจเมื่อเวลานั้นมาถึง

อีกหนึ่งเนื้อหาที่น่าสนใจเป็นเรื่องของการตัดสินใจรักษาอาการป่วย จะยอมแพ้หรือจะลองสู้สักตั้ง อันนี้คิดแบบตัดมิติทางเศรษฐกิจออกไปเลยนะครับ ไม่งั้นคงหมดแรงบันดาลใจในการรักษาไปซะก่อน ผมว่ามันเป็นอะไรที่พูดยากแล้วก็ปัจเจกเอามาก ๆ ส่วนหนังเรื่องนี้ก็ตามเนื้อหาที่ว่าไปก่อนหน้าเลยครับ ในเมื่อยังอาจจะสามารถต่อเวลาได้ทำไมจะไม่ล่ะ ส่วนมันจะยืดเวลาออกไปอีกหนึ่งปี หนึ่งเดือน หนึ่งวัน หรือว่าหนึ่งวินาที มันก็เท่ากับเวลาที่ได้อยู่กับคนที่รักนานขึ้น

เป็นหนังที่ผมว่าไม่ได้เศร้ากับความสูญเสียเพราะเราก็ไม่ต่างจากตัวละครเอก ที่รู้ตอนจบของเรื่องอยู่แล้วว่าจะลงเอยยังไง แต่เป็นหนังที่ให้ความรู้สึกเศร้าจากความเสียดาย เพราะความสวยงามของชีวิตมันอยู่ได้ไม่นาน ไม่ว่าจะดอกไม้ที่ อากิโตะ เอามาให้หรือดอกไม้ไฟที่ดูด้วยกันจะสวยแค่ไหน ความสวยงามนี้มันก็อยู่ได้ไม่นาน แต่หากเลือกมองในมุมดีช่วงเวลาสั้น ๆ ในวัยที่กำลังสวยงาม อย่างน้อย ฮารุนะกับอากิโตะ ก็ได้รู้จักกับความรักทันเวลา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Review: The King of Pigs (2022)

The King of Pigs (2022) #Thiller   #Drama Director: Kim Dae-Jin Writer: Tak Jae-Young       ฮวังคยองมิน (Kim Dong-Wook) ประธานบริษัทขนส่งผู้...