Breakup Probation, A Week (2021)
#ปีนรั้วรีวิว #Romance ซีรีส์เล่าเรื่องราวของคู่รักวัยทำงานอย่าง พัคการัม (ควอนยูริ) สาวผู้จัดการร้านขายเครื่องสำอางกับคิมซอนแจ (ฮยอนอู) หนุ่มพนักงานบริษัท ทั้งสองคนคบหาและใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาหลายปี แม้จะขยันขันแข็งช่วยกันทำมาหากิน แต่เหมือนว่าความพร้อมที่จะได้แต่งงานใช้ชีวิตคู่สร้างอนาคตร่วมกันมันก็ยังดูห่างไกลความจริง จากที่เคยมีวันชื่นคืนสุข ความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานมันเริ่มทำให้ทั้งสองคนไม่เข้าใจกันมากขึ้นเมื่อ คิมซอนแจ มักจะออกไปสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงานแทบทุกคืน ทุกครั้งที่ฝ่ายหญิงขอตามไปทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมงานของคนรัก อีกฝ่ายก็มักจะตอบปฏิเสธกลับมาเสมอ ความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจและการด้อยค่าตัวเองจึงก่อตัวขึ้นในความรู้สึกของการัม จนทำให้เธอหมดความอดทนและตัดสินใจบอกเลิกกับซอนแจ เพียงแต่ในวันที่การัม ตัดสินใจตัดอีกฝ่ายออกจากชีวิต มันกลับทำให้เธอได้รู้ว่าการลบลืมบางคนออกไปจากใจมันไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะการจากลาในวันนั้นมันนำมาซึ่งความสูญเสียของทั้งเธอและตัวคนรัก
แต่แล้ว การัม ก็ได้ข้อเสนอจากผู้กำหนดความตาย ด้วยการให้ทางเลือกในการช่วยชีวิตคนรัก เธอจะได้ย้อนกลับไป 1 สัปดาห์ก่อนหน้า ซึ่งสิ่งเดียวที่ผู้กำหนดความตายต้องการก็คือ เธอต้องตัดด้ายสีแดงแห่งโชคชะตาระหว่างเธอกับคนรัก โดยการทำยังไงก็ได้ให้คิมซอนแจเลิกและตัดใจจากเธอ ไม่เช่นนั้นโชคชะตาระหว่างเธอกับเขาจะจบลงเช่นเดิมอีกครั้ง
ซีรีส์แนวโรแมนติกจากเกาหลีที่ยืมไอเดียมาจากหนังฮอลลีวูดเรื่อง If Only ปี 2004 นำแสดงโดย เจนนิเฟอร์ เลิฟ ฮิววิตกับพอล นิโคลส์ ซีรีส์หยิบเอาชื่อหนังเรื่องนี้มาใส่เป็นกิมมิกเล็ก ๆ ไว้ในบางบทสนทนาระหว่างตัวละครช่วงต้นเรื่อง เอาจริงในทีแรกผมก็กะว่าจะรีวิวถึงทั้งสองเรื่องไว้ด้วยกัน แต่ที่สุดแล้วเปลี่ยนใจนำรีวิวแยกก็แล้วกัน เพราะคิดว่ายังไงมันก็หนังคนละเรื่องเลยไม่อยากจะเอามารีวิวรวมกัน
เนื้อหาของซีรีส์ในช่วงต้นจะทำให้ผู้ชมรับรู้ในตอนแรกว่า คู่รักคู่นี้กำลังมีปัญหาระหองระแหงกันอยู่ ฝ่ายชายอย่าง คิมซอนแจเหมือนจะเบื่อและเหนื่อยหน่ายกับความสัมพันธ์นี้อยู่หรือเปล่า ส่วน พัคการัม ก็เหมือนคนที่รู้สึกต่ำต้อยด้อยค่าตัวเองเวลาอยู่กับฝ่ายชาย พอในช่วงต้นเรื่องซีรีส์เลือกเล่าในแบบนี้ มันเลยเหมือนดูจะเป็นภารกิจที่ง่ายใช่มั้ยล่ะครับ กับแค่การบอกเลิกเพื่อช่วยชีวิตคนรักอีกครั้ง เพียงแต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าการที่ พัคการัม บอกเลิก คิมซอนแจ มันไม่ใช่เพราะเธอไม่ได้รักเขา แล้วความจริงที่ พัคการัม ได้รู้เอาตอนที่กำลังจะตายก็คือ คิมซอนแจ เองก็รักเธอ แล้วเขาก็สามารถสละชีวิตตัวเองให้กับเธอได้ เมื่อเป็นแบบนี้การจะให้เอ่ยปากบอกเลิกและให้อีกฝ่ายตัดใจ เพื่อตัดเส้นด้ายสีแดงแห่งโชคชะตาของพวกเขาทั้งสองคน มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำอีกครั้ง
การดำเนินเรื่องในช่วงที่สอง หลังจาก พัคการัม กลับมาหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้า มันเลยค่อนข้างมีความรู้สึกขัดกัน ของทั้งตัวละครและผู้ชมอยู่พอสมควรครับ เพราะเนื้อหาของซีรีส์ในส่วนนี้จะเป็นการคลี่คลายปมความไม่เข้าใจกันของสองตัวละคร จากที่เคยเข้าใจผิดกันไม่รู้ถึงความจำเป็นของอีกฝ่าย พวกเขาก็ได้รู้เบื้องหลังการกระทำ ความคิด ความรู้สึกของกันและกันมากขึ้น แต่ในทางกลับกันมันกลายเป็นว่ายิ่ง พัคการัม เข้าใจ คิมซอนแจ มากขึ้นเท่าไหร่ การจะบอกเลิกและทำให้อีกฝ่ายตัดใจมันก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก
ในพาทนี้ผมชอบเป็นการส่วนตัวผมว่ามันสะท้อนปัญหาคู่รักคนรุ่นใหม่วัยทำงาน การที่ต่างฝ่ายต่างขยันขันแข็งทำงานเพื่อสร้างฐานะ แต่ก็การทำแบบนี้แหละครับที่ผลลัพธ์มันกลายเป็นความห่างเหิน พูดกันน้อยลง ใส่ใจกันน้อยลง ไม่พยายามอธิบายความเข้าใจผิด เพราะคิดว่าตนเองมีเหตุผลและอีกฝ่ายควรเข้าใจ แต่ทั้งหมดมันกลายเป็นการทำให้อีกฝ่ายรู้สึกด้อยค่า คิดว่าความสำคัญของตัวเองลดลง ทั้งอันที่จริงแล้วอาจยังรักกันเหมือนกับคู่พัคการัมและคิมซอนแจก็ได้ครับ
พอมาถึงช่วงที่สามของซีรีส์เนื้อหาก็จะหันมาเล่าที่ปมความรู้สึกของพัคการัมบ้าง ว่าทำไมเธอถึงรู้สึกด้อยค่าตัวเอง ใครหรืออะไรที่เป็นสาเหตุให้เธอมีควาคิดแบบนั้น ในส่วนปมดรม่าของพัคการัมซีรีส์ยังสะท้อนเรื่องของการจากลา รวมถึงการทำใจจากการสูญเสียคนรักอีกด้วย เพราะเธอจมอยู่กับความสูญเสียในอดีต แล้วตัดสินใจหันหลังให้กับคนในครอบครัวที่เหลืออยู่ ปมดราม่านี้ยังเชื่อมโยงมาเป็นเหตุผลว่าทำไม พัคการัม ถึงพยายามช่วย คิมซอนแจ ให้ยังมีชีวิตอยู่ต่อไป นอกจากความรักมันยังเป็นเพราะเธอคิดว่า ตัวเองคงทำใจไม่ได้เช่นเดียวกันกับความสูญเสียเหมือนในอดีต ไม่ว่าเขาจะจากเป็นหรือจากตายก็ตาม
ซึ่งปมดราม่าที่ว่านี้ยังเชื่อมต่อไปอีกสองประเด็นย่อย อย่างเรื่องระยะเวลาของการเยียวยาความรู้สึกหลังการสูญเสีย ซึ่งแต่ละคนก็ใช้ไม่เท่ากัน แล้วก็ยังเชื่อมโยงไปถึงตัวตนของ คิมซอนแจ ที่คอยอยู่เคียงข้างให้ความช่วยเหลือ ที่กลายเป็นจุดตอกย้ำความยากในการตัดใจบอกเลิกของ พัคการัม มากขึ้นเรื่อย ๆ
ก่อนจะได้ดูซีรีส์ผมก็แอบคิดนะ ว่ามันจะไปยากอะไรแค่การบอกเลิกกัน แต่หลังจากดูจนจบแล้วก็พอเข้าใจได้เลยนะครับว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมันไม่ใช่แค่การพูดส่ง ๆ ออกไปว่าเลิกกัน แต่ต้องบอกเลิกกันโดยที่ให้อีกฝ่ายตัดใจจากกันอีกด้วย หากเป็นคู่ที่เบื่อหน่ายระหองระแหงกัน มันก็คงไม่ใช่เรื่องยากอะไร เพราะต่างฝ่ายอาจต่างรอให้อีกฝ่ายพูดคำว่าเลิกก่อนอยู่แล้ว แต่หากเป็นคู่ที่รักที่ผูกพันกันมันก็ยากนะครับ เพราะต่อให้พูดคำว่าเลิกออกไป แต่ถ้าข้างในใจมันยังยึดติดยังผูกพันกันอยู่ ก็คงเลิกกันไม่ได้ตัดความสัมพันธ์กันไม่ขาดอยู่ดี
ในช่วงท้ายรีวิวผมคงจะขอสรุปปิดท้ายถึงซีรีส์เรื่องนี้ว่า สำหรับใครที่กำลังมองหาซีรีส์เกาหลีแนวโรแมนติก ผสมพล็อตแฟนตาซีย้อนเวลา ผมว่าเรื่องนี้รับไว้พิจารณาได้อยู่นะครับ เอาจริงแม้จะไม่ถึงกับเรียกได้ว่าเป็นซีรีส์ที่ดีงาม ห้ามพลาดอะไรขนาดนั้น ส่วนตัวผมว่ายังมีส่วนที่เล่าตกหล่นไปบ้าง อย่างสาเหตุการตัดสินใจของผู้กำหนดความตาย ที่ตกลงเขามีปมอะไรอยู่กันแน่ ตรงนี้ซีรีส์ก็ไม่ได้เล่าลงรายละเอียดอะไร แต่มองในภาพรวมก็ยังถือว่าซีรีส์ตอบโจทย์ความบันเทิงได้ แล้วด้วยความที่จำนวนตอนก็ไม่มาก มันก็ถือว่าพอดีกับเนื้อหาไม่ได้เยิ่นเย้อจนเกินไปครับ
#SeriesReview #รีวิวซีรีส์เกาหลี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น