Review: La MAISON DE HIMIKO (2005)

 La MAISON DE HIMIKO (2005) 

#ปีนรั้วรีวิว #Drama #LGBTQ Director: Isshin Inudô

      ซาโอริ โยชิดะ (Ko Shibasaki) สาวพนักงานออฟฟิศที่มีหนี้สินท้วมหัว จนเกือบตัดสินใจทำงานพิเศษเป็นพนักงานเสียงตามสายขายเซ็กโฟนเสียแล้ว แต่จู่ ๆ ฮารุฮิโกะ (Joe Odagiri ) หนึ่งในคนที่เธอไม่อยากพบหน้ามากที่สุด ก็เดินทางมาถึงที่ทำงานเพื่อยื่นข้อเสนอพิเศษให้ นั่นคือการไปทำงานเป็นพนักงานชั่วคราวที่ La MAISON DE HIMIKO

บ้านพักคนชราซึ่งไม่เหมือนที่อื่นทั่วไป เมื่อที่นั่นคือบ้านพักคนชราของชาว LGBTQ ส่วนเจ้าของบ้านพักคนชราแห่งนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นไกล เธอก็คือ ฮิมิโกะ (Min Tanaka) ชาย(ในตอนนั้น)ผู้ทำให้ ซาโอริ เกิดขึ้นมา อีกหนึ่งในคนที่เธอไม่อยากเจอหน้ามากที่สุด และเขากำลังจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน

ด้วยความเดือดร้อนเงินทองที่กำลังรุมเร้า ซาโอริ ทำให้แม้เธออยากจะปฏิเสธมากแค่ไหน ก็ต้องจำใจตกปากรับคำยอมไปทำงานพิเศษที่นั่น สถานที่ที่เธอไม่อยากไปที่สุด ซาโอริ ต้องไปอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนรักร่วมเพศที่เธอแอนตี้สุดชีวิต เมื่อเธอคิดว่าเพราะพ่อทอดทิ้งเธอและแม่ไป ทำให้แม่ของเธอต้องเป็นทุกข์มีชีวิตที่ลำบาก ซาโอริ เองหนี้สินท่วมหัวก็เพราะต้องหาเงินมารักษาแม่ที่ป่วย แต่ผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อและสามี กลับหนีมาใช้ชีวิตที่ตัวเองต้องการอย่างมีความสุข

      หนังจากผู้กำกับ Isshin Inudô ที่ผมเองเคยดูผลงานก่อนหน้าอย่าง Josee, the Tiger and the Fish (2003) กับ โจเสะ ก็ว่าเรื่อยเปื่อยหนักแล้วนะ แต่ก็ยังพอมีเนื้อหาเล่าเรื่องราวได้น่าติดตามอยู่ แต่กับ La MAISON DE HIMIKO (2015) เรื่องนี้หนักกว่ามากมาย ฮ่าฮ่า คือหนังแทบไม่มีเนื้อหาอะไรเลย เพียงแค่บอกเล่าเรื่องราวสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวละคร จนกระทั่งสิ่งที่ดำเนินไปเหล่านั้น มันได้เปลี่ยนแปลงทัศนคติของ ซาโอริ ไปจากเดิม

***เปิดเผยเนื้อหาบางส่วน***
***
ในช่วงแรกของหนังเราจะได้เห็นความอึดอัดใจของ ซาโอริ ในการที่ต้องทำงานอยู่ที่บ้านพักคนชราแห่งนั้น เมื่อมองไปทางไหนก็มีแต่สิ่งที่เธอแอนตี้ มันจึงดูขวางหูขวางตาไปหมด แถมไปไปมามาสิ่งที่เธอคาดหวังเอาไว้ว่าจะได้จากการมาทำงานที่นี่ เธอก็อาจจะไม่ได้เสียแล้ว เมื่อสถานะทางการเงินของบ้านอาจขาดสภาพคล่อง เมื่อผู้ให้การสนับสนุนเริ่มคิดถึงการระงับความช่วยเหลือ หากถึงวันที่ ฮิมิโกะ ไม่อยู่แล้ว

หากจะถามว่าเหตุใดหรือสถานการณ์ไหน ที่ทำให้ทัศนคติของ ซาโอริ เปลี่ยนไปจากเดิม คงไม่สามารถหยิบยกเอามาได้เพียงข้อเดียว เมื่อหนังแทบไม่ได้สร้างจุดเปลี่ยนให้กับตัวละครนี้เลย ตอนที่ดูเราเองก็แทบไม่สังเกตเห็นเลยว่าเธอเปลี่ยนไปตอนไหน เมื่อรู้ตัวอีกทีเธอก็สามารถเข้ากันดีได้กับทุกคนไปแล้ว

ช่วงกลางเรื่องคนดูจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลง การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร หลังจากที่เปลี่ยนมุมมองของตัวเองไปแล้ว รวมทั้งบอกเล่าทางเลือกของชาวรักร่วมเพศว่า เมื่อถึงวัยไม้ใกล้ฝั่งแล้ว พวกเขาจะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไร เพราะหากทางบ้านไม่สามารถรับได้กับสภาพที่เป็น แต่สังขารมันแย่เกินกว่าที่พวกเขาจะดูแลกันเองได้แล้ว จะมีทางเลือกไหนบ้างที่พวกเขาพอจะตัดสินใจเดินต่อไปได้

ก่อนที่ช่วงท้ายหนังและตัวละคร ซาโอริ ก็ได้ตั้งคำถามตัวโต ๆ นะว่า ทำไมพวกคุณที่เลือกหันหลังให้กับครอบครัว เพื่อไปใช้ชีวิตตามที่ตัวเองต้องการขณะที่ยังมีแรง กลับเลือกที่จะโยนภาระกลับไปให้ครอบครัว ในวันที่หมดหนทางให้ไป คือหนังก็ไม่ได้ให้คำตอบกับคำถามนี้นะ เพียงแต่หนังก็ไม่ได้ให้บทสรุปที่ทำร้ายจิตใจอะไรกัน คงเพราะคำว่า “ครอบครัว” ก็คงจะให้อภัย คอยประคับประคองดูแลกัน ในวันที่อ่อนแรง (ล่ะมั้ง)

ส่วนเรื่องราวของ ซาโอริ นอกจากดราม่าระหว่างพ่อกับเธอแล้ว ยังมีดราม่าระหว่างเธอกับ ฮารุฮิโกะ คู่ขาคนรักของพ่อเธออีกด้วย เมื่อ ฮารุฮิโกะ ช่างเสน่ห์เหลือล้นเหลือเกิน จนทำให้ ซาโอริ ชักจะหวั่นไหวเข้าให้แล้ว เพียงแต่ความสัมพันธ์ที่ว่ามันจะไปไกลแค่ไหนลงเอยอย่างไร ใครอยากรู้ก็ลองไปหามาชมก็แล้วกัน

      สรุปแล้ว La MAISON DE HIMIKO (2005) เป็นหนังดราม่าต่อนยอน เล่าไปเรื่อยนะ ไม่ได้มีดราม่าเข้มข้นพลิกผันอะไร แค่บอกเล่าสถานการณ์ความเป็นไปของแต่ละตัวละคร ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างจนกระทั้งความคิดของเธอได้เปลี่ยน คงไม่ตอบโจทย์สำหรับคนดูเพื่อความบันเทิง แต่หากใครสนใจหนังที่เล่าเรื่องราวของคนกลุ่ม LGBTQ ที่เล่าเรื่องราวบั้นปลายชีวิตคนกลุ่มนี้ ก็ถือว่าเป็นหนังที่น่าสนใจ

 

ขอบคุณภาพประกอบจากภาพยนตร์: La MAISON DE HIMIKO (2005)

 

ฝากช่องยูทูปรีวิวหนังช่องเล็ก ๆ ด้วยครับผม:  https://www.youtube.com/channel/UCo1Txn08XONf92m_kngztWQ 

 

#MovieReview #รีวิวหนัง