วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

Review: Overlord (2018)

Overlord (2018) ปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด

#ปีนรั้วรีวิว #Action #Adventure #Horror Director: Julius Avery
      ในวัน D-Day 5 มิถุนายน ปี 1944 พลร่มอเมริกาหลายชีวิตได้รับมอบหมายภารกิจ วางระเบิดศูนย์วิทยุของฝ่ายนาซีเพื่อตัดการติดต่อ ก่อนที่กองทัพอากาศและกองทัพเรือจะตามเข้าสมทบ แต่ระหว่างโดดร่มลงในพื้นที่ศัตรูพวกเขาถูกถล่มอย่างหนัก จนมีทหารเหลือรอดเพียงไม่กี่นาย นำทีมโดย ฟอร์ด (Wyatt Russell) ผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิด พลทหาร บอยซ์ (Jovan Adepo), ทิบเบ็ต (John Magaro), ช่างภาพทหารอย่าง เชส (Iain De Caestecker)และ ดอว์สัน (Jacob Anderson)

ฟอร์ด ยังนำทีมมุ่งหน้าทำภารกิจต่อแม้กำลังพลจะเหลือเพียงน้อย ระหว่างทางพวกเขาได้เจอกับ โคลอี้ (Mathilde Ollivier) สาวชาวฝรั่งเศสที่ออกมาขโมยข้าวของจากศพทหารที่เสียชีวิต ฟอร์ด ตัดสินใจให้เธอนำทางเข้าไปในหมู่บ้าน หาที่พักเพื่อเตรียมตัวก่อนจะบุกเข้าไปในค่ายของนาซี ระหว่างอยู่ที่นั่น บอยซ์ ยังได้ให้ความช่วยเหลือ โคลอี้ และยังล่วงรู้ความลับการทดลองที่น่ากลัวของพวกนาซีอีกด้วย
      หนังสงคราม แอคชั่น สยองขวัญ ที่ถามว่าสนุกมั้ยมันก็สนุกนะ เพียงแต่ว่าส่วนตัวผิดคาดจากที่หวังไปสักหน่อยตรงที่ ก่อนดูคาดหวังว่าจะได้ความบันเทิงในแง่มุม ซอมบี้ ตัวประหลาดอะไรทำนองนั้นเยอะหน่อย แต่พอได้ดูจริง ๆ มันเป็นความตื่นเต้น ระทึกขวัญ จากสถานการณ์คับขันที่ตัวละครได้เจอมากกว่า ส่วนเหล่าตัวประหลาด ซอมบี้ อะไรพวกนั้น กว่าจะมาจริงจังก็ท้ายเรื่องครึ่งชั่วโมงสุดท้ายแล้ว แต่จะว่าไปพวกตัวประหลาดที่ว่ามันก็ไม่เชิงว่าจะเป็นซอมบี้ซะทีเดียว

ตัวหนังเองสร้างความ ตื่นเต้น ได้ตั้งแต่ฉากแรก ๆ บนเครื่องบิน ที่เปิดตัวด้วยสถานการณ์คับขันเครื่องบินถูกถล่มโดยข้าศึก หนังทำภาพออกมาได้ ลุ้นระทึก ดูโหดร้ายสมจริง ก่อนพลทหารที่รอดชีวิตมาได้จะต้องเจอกับสารพัดอันตรายในสงคราม ที่พร้อมจะคร่าชีวิตพวกเขาได้ทุกเมื่อ ต้นเรื่องของหนังความสนุก บันเทิง จึงเป็นการสร้างสถานการณ์คับขันในบริบทที่เกิดขึ้นในสงคราม

ก่อนที่ช่วงกลางเรื่องที่พลทหารได้เข้าไปซ่อนตัวในหมู่บ้าน ความตื่นเต้น ระทึกขวัญ ก็จะเปลี่ยนโหมดมาเป็น การที่พวกเขาต้องหลบซ่อนตัวในพื้นที่ของศัตรูไม่ให้ถูกจับได้ ช่วงท้ายเรื่องไคล์แม๊กซ์ของหนังจริง ๆ ถึงจะเข้าสู่เรื่องราวของพวกเหล่ามนุษย์ทดลองตัวประหลาดทั้งหลาย ที่คราวนี้ความบันเทิงมันมาในแง่มุม ความสยองขวัญ ที่ถึงเลือดถึงเนื้อ อาจจะไม่ถึงขนาดที่เรียกได้ว่าชวนแหวะ แต่หลายฉากก็น่าหวาดเสียวใช้ได้เลย

หนังสร้างตัวละคร บอยซ์ ให้เป็นตัวละครนำ แต่เอาจริงนะตอนที่ได้ดูตัวผมเองรู้สึกรำคาญตัวละคร บอยซ์ พอสมควรเลย เพราะว่าหนังวางตัวละคร บอยซ์ ให้อยู่ผิดที่ผิดทาง เมื่อเขาเป็นคนจิตใจดีเกินว่าจะมาอยู่ในสนามรบ ไม่กล้าฆ่าคนไม่พอ ตัวเองเอาตัวไม่ค่อยจะรอด ยังชอบเสนอตัวไปช่วยเหลือคนอื่น จนบางครั้งก็ทำให้เรื่องราวบานปลาย แต่ถ้าจะว่ากันที่ระดับความลำไย มันก็เทียบไม่ได้กับพวกหนังดราม่าหรือละครหลังข่าวขนาดนั้นหรอก

สิ่งที่ชอบที่สุดคงจะเป็นใจความสุดท้ายที่หนังสรุปว่า อาวุธร้ายแรงที่สามารถเปลี่ยนโลกใบนี้ ให้ไม่สามารถกลับเป็นเหมือนเดิมได้ ไม่ว่าฝ่ายไหนก็ไม่ควรมีไว้ในครอบครอง เพราะสิ่งที่ตามมาหรือสิ่งที่หลงเหลือจากการใช้อาวุธนั้น มันอาจจะทำลายมากกว่าแค่ศัตรู แต่อาจจะรวมถึงคนบริสุทธิ์ทั้งสองฝ่ายที่ได้รับผลกระทบ

      สรุปแล้ว Overlord (2018) ปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด เป็นหนังที่สนุก ตื่นเต้นดีนะ แม้จะมีแอบผิดหวังที่เห็นเหล่าตัวประหลาดและความสยองขวัญน้อยไปหน่อย แต่ภาพรวมของหนังก็ทำได้ลุ้นระทึก ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง เพียงแต่เป็นความตื่นเต้นในแง่มุมที่แตกต่างกันไปเท่านั้นเอง
 
ขอบคุณภาพประกอบจากภาพยนตร์: Overlord (2018) 
 
ฝากช่องยูทูปรีวิวหนังช่องเล็ก ๆ ด้วยครับผม:  https://www.youtube.com/channel/UCo1Txn08XONf92m_kngztWQ 
 

#MovieReview #รีวิวหนัง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Review: All of Us Are Dead (2022)

 All of Us Are Dead (2022) มัธยมซอมบี้ Screenwriter:  Chun Sung Il Director:  Lee Jae Gyoo       ซีรีส์เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโรงเรียนมัธ...