วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

Review: Meet Yourself (2023)

Meet Yourself (2023) ณ ที่สายลมรักพัดผ่าน

#Drama #Healing Director: Ding Zi Guang

รับชมได้ทาง True ID
      สวี่หงโต้ว (หลิวอี้เฟย) ผู้จัดการแผนกต้อนรับของโรงแรม 5 ดาวในปักกิ่ง ผู้หญิงที่ทำงานถวายหัวขยันขันแข็งรับมือได้กับทุกปัญหา เธอเป็นเพื่อนสนิทกับ เฉินหนานซิง (อู๋เชี่ยน) เพื่อนที่เป็นทุกอย่างให้เธอขณะอยู่ในเมืองใหญ่ แต่ สวี่หงโต้ว ก็ได้เจอกับเรื่องที่รับมือไม่ไหว เมื่อ เฉินหนานซิง ตรวจพบโรคมะเร็งระยะสุดท้ายและจากไปในเวลาไม่นาน จากความเสียใจ สวี่หงโต้ว กลับมาตั้งคำถามถึงความต้องการในชีวิต เธอตั้งใจทำงานทุกอย่างที่ผ่านเข้ามา ถึงอย่างนั้นมันก็เหมือนไม่มีความหมายอะไรเลยเมื่อไม่ได้ใช้ชีวิต

จากคำสั่งเสียของเพื่อนที่บอกให้เธอออกไปค้นหาความต้องการในชีวิต สวี่หงโต้ว ตัดสินใจลาออกจากงานแล้วเดินทางไปยังยูนาน สถานที่ที่เธอกับเพื่อนเคยสัญญาว่าจะไปด้วยกัน เมืองเล็ก ๆ ที่ผู้คนมองเห็นกันแม้อยู่ในบ้าน เมืองที่เธอจะได้เข้าไปสำรวจและรักษาจิตใจที่บอบช้ำ

หลังจากดูจบแล้วคงบอกได้ว่า Meet Yourself เป็นซีรีส์จีนสายฮีลที่ดีงามอีกเรื่องหนึ่ง ภาพสวย วิวดีงาม เพลงประกอบเข้ากับบรรยากาศ เคมีนักแสดง ปมประเด็นต่าง ๆ ที่ซีรีส์หยิบจับใส่เข้ามา ทำออกมากลมกลืนเข้ากัน เล่าเรื่องอย่างใจเย็นเป็นไปช้า ๆ เนิบ ๆ ให้เวลาคนดูกับตัวละครได้ซึบซับอารมณ์และบรรยากาศ หรือพูดอีกนัยหนึ่งคงจะบอกได้ว่าเป็นซีรีส์ที่คนใจร้อนเร่งรีบอาจไม่อิน ถึงอย่างนั้นผมก็อยากบอกว่าจังหวะการเล่าแบบนี้ มันใช่ถูกต้องกับธีมของซีรีส์แล้วล่ะ กับการค่อย ๆ ให้คนดูเก็บเกี่ยวสิ่งต่าง ๆ ในซีรีส์ที่ละเล็กทีละน้อย

ในแง่ความสัมพันธ์ตัวละครคงจะบอกว่าไม่ช้าแต่ก็ไม่เร็ว ทั้งตัวละครสมทบและคู่พระนาง ในพาทของความสัมพันธ์ตัวละครหากยังไม่นับคู่ตัวละครเอก ตัวละครที่มาพักโฮมสเตย์บ้านลมพัดพา ต่างเป็นคนที่หนีปัญหาไปอยู่ในเมืองเล็กมีปมที่แก้ไม่ตกหาทางออกไม่ได้ ความสัมพันธ์ตัวละครจะค่อย ๆ พัฒนาขึ้นหลังจากปัญหาของแต่ละคนคลี่คลาย ได้เรียนรู้กันได้สะท้อนปัญหาของตัวเอง ซึ่งความสัมพันธ์ของตัวละครในเรื่องมันดีมาก ๆ ทั้งรูปแบบมิตรภาพของเพื่อนและคนรัก คือมันไม่ถึงกับโลกสวยพูดคำสวยหรูใส่กันตลอดเวลา แต่มันคือการรับฟัง สนับสนุนลงแรงช่วยในบางครั้ง หรือหากมีประสบการณ์ มีวิธีคิดในมุมต่างก็พูดคุยแชร์ความเห็นกันได้

ส่วนความสัมพันธ์คู่พระนาง สวี่หงโต้วกับเซี่ยจือเหยา จะว่ายังไงดีล่ะครับ มันไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน แต่ก็ไม่ใช่สูตรสำเร็จแบบในซีรีส์ที่เป็นคู่กัดกันก่อนแล้วค่อยมารักกัน หรือเกิดเรื่องเข้าใจผิดได้แก้ไขความเข้าใจผิดแล้วรักกัน แต่ความสัมพันธ์คู่พระนางในเรื่องมันคือง่าย ๆ เลยจากการเป็นคนแปลกหน้า ได้ให้ความช่วยเหลือ พูดคุย ได้รู้จักนิสัยใจคอกันมากขึ้นกลายเป็นความประทับใจ แค่ความสัมพันธ์ระหว่าง สวี่หงโต้วกับเซี่ยจือเหยา แอบมีความน่าอึดอัดใจเล็ก ๆ เพราะนางเอกของเราเป็นนักท่องเที่ยวที่มาพักแค่ 3 เดือน ส่วนพระเอกเป็นคนมีอุดมการณ์ทิ้งงานจากในเมืองกลับมาพัฒนาบ้านเกิด ผมชอบที่ซีรีส์ยกเอาประเด็นความรักทางไกลกับทางเลือกใส่เข้ามา หากผู้ชายถามว่าคุณรักผมไหม ถ้ารักคุณย้ายเมืองมาอยู่กับผม แล้วถ้าผู้หญิงถามกลับล่ะ ถ้าคุณรักฉัน คุณย้ายเมืองไปอยู่กับฉันได้ไหม

เลยกลายเป็นว่าต่อให้รู้สึกดีต่อกัน ความรู้สึกที่มีให้กันล้นจนเก็บอาการไม่อยู่ ต่างคนต่างรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ต่อให้พูดคุยกันอย่างเข้าอกเข้าใจแค่ไหน เวลาที่ถึงบทสนทนาเกี่ยวกับความสัมพันธ์จะเกิดอาการอึกอักทุกที เมื่อสถานที่และเวลามันกลายเป็นคำถามว่าจะไปต่อยังไง คนหนึ่งมาเที่ยวแค่สามเดือนก็ต้องกลับ ส่วนอีกคนมีหน้าที่ความรับผิดชอบที่ทิ้งไปไม่ได้ ส่วนตัวคิดว่าซีรีส์แก้ไขโจทย์ของตัวเองตรงนี้ได้ดี ไม่มักง่ายรวบรัดแบบความรักชนะทุกสิ่ง โอเคว่าอาจจะใช้ความรักนำทาง แต่ก็ให้เวลาตัวละครค่อย ๆ ใช้ความคิดตัดสินใจแบบใช้เหตุผล เป็นอีกหนึ่งในความสัมพันธ์แบบคนรักในซีรีส์ที่ผมชอบมาก มันเรียบง่าย แต่ก็มีความยากซับซ้อนในแบบตัวเอง ถึงต่อให้ตัวละครจะมีปัญหาความไม่เข้าใจกัน วิธีคิด วิธีแก้ไข ก็ยังเป็นความสัมพันธ์ที่ดีตั้งแต่ต้นจนจบ

ประเด็นในภาพใหญ่ที่ไม่ใช่ความสัมพันธ์ตัวละคร ซีรีส์หยิบเอาเรื่องที่สังคมคนเอเชียน่าจะอินกันได้ไม่ยาก อย่างการที่พ่อแม่ฝากลูกให้คนแก่ในชนบทเลี้ยง เพื่อที่ตัวเองจะได้ออกไปดิ้นรนหางานหาเงินในเมือง ซึ่งเรื่องที่ว่ามันกลายเป็นปมของทั้งฝั่งพ่อแม่และลูก เซี่ยจือเหยา พระเอกของเราเลยลาออกจากงานดี ๆ ในเมืองเพื่อกลับมาพัฒนาบ้านเกิด เพื่อให้พ่อแม่ได้อยู่กับลูก คนหนุ่มสาวมีงานทำไม่ต้องทิ้งบ้านเกิด คนแก่ก็มีลูกหลานดูแล มันเป็นอะไรที่ดูอุดมคติก็จริง

แต่ต้องบอกว่าซีรีส์ไม่ได้โลกสวยขนาดนั้น เพราะไม่ว่าที่ไหนที่มีคน ทุกที่ต่างก็มีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น ช่วงท้ายของซีรีส์ก็สะท้อนประเด็นนี้ออกมาได้ดี ผมคิดว่าคงเกิดเรื่องที่ว่าขึ้นมาจริง ๆ แหละ ตอนที่คนอื่นลงมือทำไม่เห็นค่า พอเขาทำสำเร็จขึ้นมาอยากได้ผลประโยชน์ด้วย นอกจากนี้ซีรีส์ยังมีประเด็นทางสังคมอื่น ๆ อีก ไม่ว่าจะเรื่องการใช้โซเชี่ยลในการทำงาน เรื่องการหลอกลวงทางออนไลน์ซีรีส์ก็ใส่เข้ามา ถือว่าเอาปมปัญหาทางสังคมมาแทรกได้แนบเนียนแม้จะดูจงใจก็เถอะ

เป็นซีรีส์ที่ดำเนินเรื่องไม่หวือหวาค่อยเป็นค่อยไป ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่บอกได้เลยว่าซีรีส์เอาอยู่ไม่มีความรู้สึกเบื่อเลย เราอยากจะติดตามเรื่อราวของเหล่าตัวละครว่าพวกเขาจะเป็นยังไงต่อไป จะผ่านจะแก้ไขปมในใจแบบไหน แล้วที่ดีมากอีกอย่างก็คือบทสนทนาระหว่างตัวละคร มันได้แง่คิดสะท้อนเรื่องราวได้ดี พูดกันอย่างตรงไปตรงมา แต่ก็เข้าอกเข้าใจไม่บีบคั้นกดดัน แต่พูดเปิดทางให้ตัวละครไปคิดต่อตกตะกอนความคิดเอาเอง เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งซีรีส์ที่ดีงามชวนให้ดูกันเลยล่ะครับ

#ReviewSeries #รีวิวซีรีส์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Review: All of Us Are Dead (2022)

 All of Us Are Dead (2022) มัธยมซอมบี้ Screenwriter:  Chun Sung Il Director:  Lee Jae Gyoo       ซีรีส์เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโรงเรียนมัธ...