วันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

Review: Because This Is My First Life (2017)

Because This Is My First Life (2017)

สามารถรับชมได้ทาง VIU/ WeTV/ Netflix และ iQIYI

#ปีนรั้วรีวิว #Romance #Comedy Director: Park Joon-Hwa
      ยุนจีโฮ (จองโซมิน) ผู้ช่วยนักเขียนบทละครโทรทัศน์ ที่พยายามขยับตัวเองให้กลายมาเป็นนักเขียนบทเต็มตัว แต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนเธอก็ยังตกอยู่ใต้ร่มเงาของนักเขียนฮวัง หัวหน้าของเธอ เพียงแต่ปัญหาเฉพาะหน้าในตอนนี้ไม่ใช่การงานที่ไม่ก้าวหน้า แต่เป็นเพราะว่า ยุนจีซอก (โรจองฮยอน) น้องชายตัวแสบที่เช่าบ้านอยู่ด้วยกันกับเธอ ดันทำผู้หญิงท้องแล้วเอาเข้ามาอยู่ในบ้านด้วย ยุนจีโฮ เธอเลยตัดใจยกบ้านหลังนั้นให้น้องชายอยู่ ส่วนตัวเธอเองจะเป็นฝ่ายออกไปหาบ้านเช่าหลังใหม่

จากการช่วยเหลือของสองเพื่อนสนิท ยังโฮรัง (คิมกาอึน) และ อูซูจี (อีซม) ยุนจีโฮ เลยสามารถหาบ้านเช่าหลังใหม่ได้อย่างรวดเร็ว ถึงอย่างนั้นไอ้ความรวดเร็วนี่แหละ ที่มันได้สร้างปัญหาการสื่อสารที่ผิดพลาด เพราะอพาร์ทเม้นท์เช่าหลังใหม่ที่ ยุนจีโฮ กำลังจะย้ายเข้าไปอยู่ เพื่อนร่วมห้องของเธอกลับไม่ใช่ผู้หญิงอย่างที่เข้าใจ แต่กลายเป็น นัมเซฮี (อีมินกิ) หนุ่มซึนมาดขรึมผู้ร่วมก่อตั้งแอปพลิเคชันหาคู่ ด้วยความที่ ยุนจีโฮ ไม่มีที่ให้ไปแล้ว สุดท้ายเธอจึงต้องจำใจอยู่ร่วมชายคาเดียวกับคนแปลกหน้า โดยทั้งสองคนตกลงกันว่าจะทดลองอยู่ด้วยกันเป็นเวลา 7 วัน แล้วหากทุกอย่างมันลงตัวล่ะก็ หลังจากนั้นค่อยมาเซ็นสัญญาเช่ากันในภายหลัง เพียงแต่คงไม่มีใครคิดว่าสัญญาฉบับต่อไปของทั้งสองคน จะกลายเป็นสัญญาเช่าแต่งงานระยะเวลา 2 ปี แทนสัญญาเช่าห้องไปซะอย่างงั้น

ซีรีส์เกาหลีที่ใช้เรื่องของ “ครั้งแรกในชีวิต” มาเป็นกิมมิกในการนำเสนอเรื่องราว เพราะไม่ว่าครั้งแรกในเรื่องนั้น ๆ ของแต่ละคนจะเป็นยังไง จะดีหรือร้าย คนเราก็มักจะนึกถึงความทรงจำเหล่านั้นได้เสมอ แต่กิมมิกความเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ซีรีส์หยิบมาใช้ ผมว่าซีรีส์นำเสนอออกมาได้ไม่สัมผัสความรู้สึกคนดูเท่าไหร่นะครับ ประเด็นที่ซีรีส์ขับเน้นออกมาอย่างเด่นชัด กลายเป็นเรื่องที่พูดถึงการดิ้นรน ของคนหนุ่มสาวชนชั้นกลางในเมือง เรื่องของรูปแบบความสัมพันธ์ที่มีความเฉพาะบุคคลมากขึ้น การแต่งงานหรือการใช้ชีวิตคู่ที่ถูกตั้งคำถาม และนำเสนอออกมาได้อย่างน่าสนใจ เพราะมันไม่ได้มีแค่มิติของความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนที่ใช้ชีวิตร่วมกันเท่านั้น ยังรวมถึงความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ความไม่ลงรอยกันทางความคิดของคนที่ยุคสมัยแตกต่างกัน เมื่อพ่อแม่ก็มองในอีกมิติหนึ่งตามค่านิยมดั่งเดิม แต่หนุ่มสาวยุคใหม่(บางคน)อาจไม่ได้มองผ่านมิติเดิมของค่านิยมยุคก่อนอีกแล้ว

ผมขอกล่าวถึงความสัมพันธ์ของ ยุนจีโฮ กับ นัมเซฮี คู่พระนางของเรื่องก่อนก็แล้วกันครับ ความสัมพันธ์ของคู่นี้เป็นความสัมพันธ์ ที่ในชีวิตจริงอาจจะมีน้อยและหลายคนก็อาจมองว่าแปลก แต่ความสัมพันธ์ในรูปแบบนี้กลับกลายเป็นความสัมพันธ์ยอดฮิต ในซีรีส์โรแมนติก คอมเมดี้ ที่มีสัญญาผูกความสัมพันธ์สองคนเข้าไว้ด้วยกัน ระหว่างสองตัวละครเอกสำหรับผมแล้ว สัญญาเป็นเพียงสิ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์มันซับซ้อนมากขึ้นไปอีก เหมือนที่ทั้งคู่ทดลองอยู่ด้วยกันก่อนเซ็นสัญญา 7 วัน การอยู่ด้วยกันได้มันเลยไม่เกี่ยวกับข้อผูกมัด เพราะสองตัวละครนี้อยู่ด้วยกันได้ ด้วยความลงตัว พอดีในชีวิต แต่อันนี้เป็นความเป็นของผมนะครับ ส่วนสิ่งที่ซีรีส์นำเสนอออกมาดูเหมือนจะบอกว่า การมีสัญญาหรือข้อพูดคุยตกลงกัน สำหรับบางคู่แล้วมันอาจจะเป็นการดี ที่แต่ละคนสามารถแบ่งบทบาทหน้าที่กันได้อย่างชัดเจน

ยุนจีโฮ เดือดร้อนตกงานขาดรายได้ต้องการหาที่อยู่ที่ค่าใช้จ่ายไม่สูง นัมเซฮี มีอพาร์ทเมนท์ที่กำลังผ่อนและต้องการคนช่วยแชร์ค่าใช้จ่าย ความต้องการอย่างแรกของทั้งสองคนจึงลงตัว ยุนจีโฮ ชอบทำงานบ้านด้วยความเป็นลูกสาวที่โตมากับแม่ นัมเซฮี ก็ต้องการคนมาช่วยทำความสะอาดและดูแลแมวเมื่อเขาไม่อยู่ที่บ้าน ความต้องการอย่างที่สองจึงลงตัว ต่างคนจึงต่างได้รับและให้ประโยชน์แก่กันในความสัมพันธ์นี้ แต่ก็แน่นอนว่าความสัมพันธ์ที่สมประโยชน์กันแบบนี้ ก็ยังไม่ใช่ความรักอยู่ดี หลังจากนั้นซีรีส์จึงใส่ตัวแปรเข้ามาเพื่อพัฒนาความรู้สึกของตัวละคร

คู่ที่สอง ยังโฮรัง สาวผู้จัดการร้านอาหาร ที่ใฝ่ฝันอยากจะแต่งงาน กับ ชิมวอนซอก (คิมมินซอก) โปรแกรมเมอร์หนุ่มนักพัฒนาซอฟต์แวร์ ที่ใช้ความพยายามในการทำธุรกิจมาหลายปี แต่ความฝันก็ยังไม่ใกล้เคียงความจริง นั่นเลยทำให้ ยังโฮรัง มักจะเป็นฝ่ายเรียกร้อง ส่วน ชิมวอนซอก ต้องตีมึนไม่รู้ไม่เห็นความต้องการของฝ่ายหญิง เมื่อถูกรบเร้ามากเข้า ชิมวอนซอก ก็เริ่มตั้งคำถามว่าการแต่งงานมันคืออะไร แล้วในเมื่ออีกฝ่ายต้องการแต่เขาไม่พร้อมที่จะให้ ความสัมพันธ์แบบนี้มันจะไปต่อยังไง เป็นคู่หนึ่งครับที่มีความน่าเห็นใจทั้งสองฝ่าย ฝั่ง ยังโฮรัง ก็คบมาเนิ่นนานหลายปี หากปล่อยให้เวลาล่วงเลยอายุมากไปกว่านี้ แล้วความสัมพันธ์ไปต่อไม่ได้ในอนาคต ความฝันที่จะได้แต่งงานก็อาจเป็นไปได้ยาก ส่วน ชิมวอนซอก ด้วยการมีความใฝ่ฝันแต่หน้าที่การงานดันไม่ประสบความสำเร็จ ยังไม่มีวี่แววมองเห็นอนาคตที่มั่นคง มันก็เป็นการตัดสินใจที่ยากหากต้องเลือกระหว่างความใฝ่ฝันกับความรัก

ส่วนคู่ที่สาม อูซูจี สาว working woman พนักงานระดับบนของบริษัทยักษ์ใหญ่ กับ มาซังกู ประธานบริษัทสตาร์ทอัพเพื่อนร่วมงานของ นัมเซฮี อูซูจี เป็นผู้หญิงที่พยายามแกร่งและไม่คิดพึ่งพาใคร นั่นยังหมายถึงเธอไม่คิดที่จะมีความรักหรือแต่งงาน ความสัมพันธ์ของเธอกับเพศตรงข้าม จึงเป็นรูปแบบของการตอบสนองความพอใจของทั้งสองฝ่าย ซึ่งประธานมาซังกู คือคนที่กระโจนเข้ามาในรูปแบบความสัมพันธ์นั้น เพียงแต่เขาดันตกหลุมรักเธอขึ้นมาจริง ๆ มันก็เลยเป็นปัญหาที่ว่า เขาจะจัดการยังไงเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้คิดถึงความสัมพันธ์ที่จริงจังถึงขั้นแต่งงาน สำหรับคู่นี้แล้วนอกจากประเด็นความสัมพันธ์คู่รัก อีกหนึ่งหัวข้อที่ถูกพูดถึงชัดเจน ก็คือ เรื่องของความลำบากของเพศหญิง ในการทำงานร่วมกับผู้ชายในสังคมชายเป็นใหญ่ ทั้งเรื่องของการเหยียดเพศ การคุกคามทางเพศ การบูลลี่ในที่ทำงาน เมื่อ อูซูจี เป็นผู้หญิงเก่ง มีความสามารถ แต่ด้วยความหัวสมัยใหม่ในบางเรื่องมันก็เลยทำให้เธอ ตกเป็นเป้าโจมตีจากคนในที่ทำงาน

ผมชอบรูปแบบความสัมพันธ์และการแต่งงานที่ซีรีส์นำมาตีความนำเสนอนะครับ ผมขอยกตัวอย่างคู่ของ ยุนจีโฮ กับ นัมเซฮี มันก็เป็นความสัมพันธ์แบบคนยุคใหม่ ที่ใช้แนวคิดการสมประโยชน์กันเป็นพื้นฐาน ไม่ต้องการพิธีรีตอง หรือการสนับสนุนจากครอบครัวตัวเอง แต่ด้านหนึ่งการแต่งงานและการใช้ชีวิตร่วมกัน แม้จะมีเพียงคนสองคนที่ตัดสินใจอยู่ด้วยกัน แต่ความสัมพันธ์มันดันไม่ใช่แค่คนสองคน เมื่อยังมีพ่อแม่ญาติพี่น้องและเพื่อนของแต่ละฝ่ายอีกด้วย การไม่ลงรอยทางความคิดของคนสองรุ่นจึงเกิดขึ้น เมื่อพ่อแม่ที่เติบมาในสังคมดั้งเดิม ที่สังคมขับเคลื่อนด้วยวัฒนธรรมและประเพณี พวกเขาจึงไม่เข้าใจวิธีคิดของคนรุ่นใหม่ ส่วนคนรุ่นใหม่ที่เติบโตขึ้นมาในยุคที่ต้องแข่งขันกับโลกที่หมุนเร็วขึ้น วัฒนธรรมและประเพณีจึงกลายเป็นสิ่งยุ่งยากและเกินความจำเป็น

ส่วนอีกสองคู่ ยังโฮรัง กับ ชิมวอนซอก และ อูซูจี กับ มาซังกู ต่างก็มีประเด็นใจความสำคัญที่จับต้องในในเรื่องราวของตัวเอง ผมเชื่อเลยว่าหากใครเป็นผู้หญิงที่มีความใฝ่ฝันอยากแต่งงานกับผู้ชายที่ตัวเองรัก ต้องรอแล้วรอเล่าความฝันไม่เป็นจริงสักที คงจะอินกับเรื่องราวคู่ของ ยังโฮรัง กับ ชิมวอนซอก แน่นอน ส่วนใครเป็นผู้หญิงเก่งทำงานคล่องตัวจนคิดว่าไม่จำเป็นต้องพึ่งพาใคร แต่ลึก ๆ ก็รู้สึกโดดเดี่ยวแล้วก็อยากเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ของใครสักคน อยากมีคนที่คอบสนับสนุนกัน ก็คงจะอินกับความสัมพันธ์ของคู่ อูซูจี กับ มาซังกู เหมือนกันครับ

ในช่วงท้ายผมขอสรุปถึงซีรีส์เรื่องนี้ว่า การเล่าเรื่องของซีรีส์ค่อยข้างเรื่อย ๆ มาเรียง ๆ เน้นที่อารมณ์ของตัวละคร ไม่ค่อยมีอะไรเหวือหวาสักเท่าไหร่ หากใครเป็นคนชอบซีรีส์แนวกระเทาะเปลือกชีวิตคน สะท้อนความเป็นไปของชีวิตในมุมที่ไม่ได้ซีเรียสจริงจัง แต่ก็ไม่เบาบาง น่าจะชอบซีรีส์เรื่องนี้ไม่ยากครับ โทนจะคล้าย ๆ ซีรีส์อย่าง Monthly Magazine Home, Be Melodramatic, More Than Friend, She Would Never Know ที่พูดถึงการดิ้นรนใช้ชีวิตของคนหนุ่มสาวชนชั้นกลางในเมือง และเรื่องราวความรักของพวกเขาประมาณนี้ครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Review: All of Us Are Dead (2022)

 All of Us Are Dead (2022) มัธยมซอมบี้ Screenwriter:  Chun Sung Il Director:  Lee Jae Gyoo       ซีรีส์เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโรงเรียนมัธ...