Birthday Card (2016)
#ปีนรั้วรีวิว #Drama #Romance Director: Yasuhiro Yoshida โนริโกะ ซูซุกิ (ไอ ฮาชิโมโตะ) ผู้หญิงที่กำลังนั่งให้สัมภาษณ์กับใครบางคนอยู่ เธอเล่าย้อนไปถึงวัย 10 ขวบของตัวเอง ในช่วงประถม โนริโกะ เป็นเด็กเก็บตัวความสัมพันธ์กับเพื่อนในวัยเดียวกันไม่ดีนัก ยิ่งกับการถูกเพื่อนกดดันระหว่างการแข่งขันตอบปัญหาภายในโรงเรียน เธอเลยบอกกับตัวเองและใคร ๆ ว่า ชีวิตของเธอมีบทบาทเป็นเพียงตัวประกอบก็เพียงพอแล้ว ด้วยความเป็นแม่ที่ห่วงลูกสาว โยชิเอะ (อาโออิ มิยาซากิ) จึงเอ่ยปากไถ่ถามความรู้สึกของลูก แต่ โนริโกะ กลับย้อนถามว่า “แล้วแม่ล่ะ ที่เป็นอยู่ตอนนี้มันใช่ชีวิตที่ฝันไว้หรือเปล่า พอใจกับชีวิตตัวเองตอนนี้จริงหรือ” เล่นทำเอา โยชิเอะ เปิดตำราหาคำตอบให้กับลูกไม่ถูกเหมือนกันเพียงแต่ยังไม่ทันที่ โยชิเอะ จะหาคำตอบของคำถามนั้นมาให้กับลูกสาวได้ เธอก็ล้มป่วยด้วยโรคร้ายแรงที่รักษาไม่หายเสียก่อน ในช่วงสุดท้ายของชีวิต โยชิเอะ พยายามสร้างความทรงจำที่ดีกับสามี โชอิจิโร่ (ยูสุเกะ ซานตามาริอะ) ลูกสาว โนริโกะ และลูกชายคนเล็ก มาซาโอะ (ดคนตะ สุกะ) เพื่อให้คนในครอบครัวที่เหลือ สามารถเดินหน้าใช้ชีวิตต่อไปได้ โดยที่ โยชิเอะ ให้คำมั่นสัญญากับลูกสองคนว่า เธอจะส่งการ์ดอวยพรวันเกิดมาให้ทุกปี จนกว่าพวกเขาจะอายุครบ 20 ปี แม้ว่าเธอจะจากโลกใบนี้ไปแล้วก็ตาม
หนังญี่ปุ่นที่พูดถึงความรักความผูกพันระหว่างคนในครอบครัว ที่ถึงต่อให้ตายจากกันไปแล้ว มันก็ไม่ได้หมายความว่า ความรู้สึกรัก ความผูกพัน มันจะหายตามไปด้วย เป็นหนังที่เล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่าคนเป็นอย่าง โนริกะ กับคนเป็นแม่ที่ตายไปแล้วอย่าง โยชิเอะ แม้จะไม่สามารถใช้คำว่าทั้งสองตัวละครนี้ มีประสบการณ์ร่วมกันผ่านการ์ดวันเกิดปีละหนึ่งใบ แต่ก็คงพูดได้ว่าในประสบการณ์ชีวิตของ โนริโกะ มีบางส่วนของ โยชิเอะ ร่วมอยู่ในนั้นเสมอ ผ่านข้อความในการ์ดวันเกิดปีละหนึ่งใบ
โยชิเอะ มักจะมอบภารกิจบางอย่างแก่ลูกสาวผ่านการ์ดวันเกิด โดยที่ภารกิจก็มักจะเกี่ยวข้องกับการพาให้ โนริโกะ ก้าวออกมามีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน อย่างสิ่งเล็กน้อย เช่น การให้ โนริโกะ ปลูกต้นทานตะวันที่หน้าบ้าน มันก็เท่ากับการทำให้ลูกสาวไม่ต้องเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ได้ออกมาเจอกับผู้คนรอบข้าง เพราะต้องออกมาดูแลต้นทานตะวันที่แม่ให้เมล็ดมาปลูก เป็นเหมือนก้าวเล็ก ๆ ในช่วงวัยเด็ก ที่ โยชิเอะ มอบให้กับลูกสาวแม้ตัวเองจะไม่อยู่แล้ว
แน่นอนว่าหาก โยชิเอะ ยังอยู่ ก็จะเป็นคนที่คอยบอก คอยสอน ในเรื่องที่ลูกสาวต้องเจอ แต่พอเธอไม่อยู่แล้วในทุกภารกิจที่ดำเนินต่อไปในวันเกิด มันจึงเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ลูกสาวต้องเผชิญในวัยนั้น ไม่ว่าจะความรักครั้งแรก จูบครั้งแรก การมีเพื่อน การเข้าสังคมที่เริ่มเป็นผู้ใหญ่ขึ้นในช่วงวัยมหาลัย การเผชิญหน้ากับความสับสน เมื่อต้องก้าวพ้นความเป็นวัยรุ่นสู่การเป็นผู้ใหญ่ ที่ไม่ได้มองอะไรเพียงแค่ด้านของตัวเองเท่านั้น แต่สามารถทำความเข้าใจจากมุมของคนอื่นได้เช่นกัน คงพูดได้ว่าเป็นหนังที่แม้จะเล่าความสัมพันธ์ระหว่างคนเป็นกับคนตาย แต่หนังก็เล่าได้สวยงาม โอเคล่ะ ว่ามันก็มีดึงดราม่าบ้างในบางช่วง แต่โดยรวมหนังก็มาในธีมส่งต่อพลังบวก ให้คนที่ยังมีลมหายใจสามารถอยู่ต่อไปได้
แคสนักแสดง โนริโกะ ในหนังเรื่องนี้มีถึง 4 คน เริ่มตั้งแต่วัยเด็ก 4 ขวบจนถึงอายุ 20 ปี เป็นแคสนักแสดงที่รู้สึกต่อเนื่องมากเลยครับ คือหน้าตาของนักแสดง ทำให้เชื่อว่าเป็นคนคนเดียวกันในแต่ละช่วงวัย มีนักแสดงที่คุ้นหน้ากันดี ก็เห็นจะเป็น ไอ ฮาชิโมโตะ ที่รับบทเป็น โนริโกะ ตอนโตนี่แหละครับ ส่วนนักแสดงเด็กที่รับบทเป็น โนริโกะ ในวัยอื่นลองเข้าไปดูโปรไฟล์แล้ว บางคนยังมีงานแสดงอยู่เรื่อย ๆ แต่บางคนก็เหมือนจะ Fade ตัวเองออกไปจากวงการเลย ซึ่งนักแสดงทั้ง 4 คนในแต่ละช่วงวัยก็ทำออกมาได้ดีทุกคน ส่วนแคสนักแสดง โยชิเอะ ก็ได้ อาโออิ มิยาซากิ มารับบท ตัวละครนี้อาจไม่ใช่ตัวละครที่ขับเคลื่อนเรื่องราวก็จริง แต่ในทุกฉากที่มีปรากาฎตัว ก็ขับเคลื่อนความรู้สึกผู้ชมได้ ในบทแม่ที่ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้อีกแล้ว ในการเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสร้างประสบการณ์ชีวิตให้กับลูกสาว
เป็นหนังที่ไม่ได้มีเนื้อหาอะไรมาก แค่บอกเล่าการค้นหาความมั่นใจในตัวเอง การก้าวออกมาเผชิญโลกของ โนริโกะ ผ่านการผลักดันจากการ์ดวันเกิดของแม่ ว่าเธอจะสามารถสลัดความไม่มั่นใจในตัวเอง ความคิดที่ว่าชีวิตนี้เป็นเพียงตัวประกอบก็พอแล้วได้หรือไม่ แต่หนังก็เล่าออกมาได้เพลินดี ไม่น่าเบื่อ ด้วยความที่มันเป็นภารกิจ ที่เหมือนการ์ดวันเกิดจะให้มิสชั่นให้กับ โนริโกะ ได้ทำตาม คนดูก็เลยได้ลุ้นว่าเธอจะพาตัวเองออกมาจากกรอบที่ตีเอาไว้ได้หรือเปล่า
ในช่วงท้ายรีวิวผมขอสรุปถึงหนังเรื่องนี้ว่า เป็นหนังฟีลกู๊ดที่ดูเพลินอีกเรื่องหนึ่งเลยครับ เนื้อหาอาจไม่มีอะไรมาก แต่ใจความและการบอกเล่าเรื่องราวก็ยังน่าติดตาม เป็นหนังอีกเรื่องหนึ่งที่รู้สึกพอดีคำ ไม่ดราม่าหนักเกินไป แต่ก็ไม่ได้เบาบางจนจับใจความไม่ได้ เป็นหนังที่สายฮีลที่ผมว่าควรดูอีกเรื่องหนึ่งเลยครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น