วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2567

Review: Stranger 2 (2020)

Stranger 2 (2020)

#Drama #Thriller 

Director: Park Hyun-Suk
Writer: Lee Soo-Yeon

      หลังจากที่อัยการฮวังชีมก (Cho Seung-Woo) ถูกย้ายไปทำงานยังเมืองทงยองได้ 2 ปี ใกล้เวลาที่เขากำลังจะชีพจรลงเท้าได้ย้ายงานอีกครั้งหนึ่ง โดยที่สถานีต่อไปของเขาก็คือเมืองวอนจู แต่ในคืนงานเลี้ยงส่งท้ายที่อัยการฮวังชีมก กำลังขับรถฝ่าหมอกที่ลงจัดในคืนนั้น มันกลับเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้น เมื่อมีเด็กวัยรุ่น 3 คน ขับรถจากต่างเมือง มาเที่ยวที่ชายหากเมืองทงยอง เด็ก 2 ในสามคนที่ฉลองกันจนเมามายลงไปเล่นน้ำทะเลจนเสียชีวิต ทั้งที่ชายหาดกันเชือกเอาไว้เป็นเขตห้ามลงเล่นน้ำ 

คดีถูกสรุปในชั้นแรกว่าเป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น แต่ด้วยความตาไวของนักสืบฮันยอจิน ที่ตอนนี้การงานก้าวหน้า ได้ย้ายไปอยู่หน่วยปฏิรูปการสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เธอไปเห็นความผิดปรกติของ อียองโฮ เป้าหมายที่เธอกำลังทำการสืบสวนอยู่ ว่าอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับพวกเด็กวัยรุ่น เธอก็เลยเริ่มทำการค้นหาความจริงที่เกิดขึ้น 

ส่วนอัยการฮวังชีมกที่กำลังจะย้ายไปทำงานที่เมืองวอนจู เขากลับถูก ผอ.อูแทฮา (Choi Moo-Sung) เรียกตัวฉุกเฉินมายังสำนักงานอัยการสูงสุด แผนกพิเศษหน่วยงานกฎหมายและคดีอาญา เพื่อเข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกทีมเจรจาของฝั่งอัยการ ต่อรองกับหน่วยปฏิรูปการสืบสวนของฝ่ายตำรวจ ในการกำหนดสิทธิ์ในการสืบสวน สอบสวน ระหว่างอัยการกับตำรวจกันใหม่ จากที่ในซีซั่นแรกอัยการฮวังชีมก กับ นักสืบฮันยอจิน ได้ร่วมมือกันในการเปิดโปงด้านมืดขององค์กร ซีซั่นที่สองนี้ทั้งสองคนต้องมาเป็นผู้เล่นในเกมชิงอำนาจ ลงสนามยืนกันคนละฝั่ง เพื่อช่วงชิงอำนาจในการมาเป็นขององค์กรที่ตัวเองทำงานอยู่ 

ในซีซั่นแรกอัยการฮวังชีมกกับตำรวจนักสืบอย่าง ฮันยอจิน นั้น เปรียบเสมือนคนแปลกหน้าในองค์กรของตัวเอง เรียกว่าตามชื่อเรื่อง Stranger เลยล่ะครับ เมื่อพวกเขาทั้งสองคนได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ ตรวจสอบคนในองค์กรเดียวกันเอง ซึ่งผมว่าในซีซั่นแรกซีรีส์สะท้อนความเป็นตัวตนของตัวเอง ออกมาได้อย่างชัดเจนมากเลยนะ หากใครเป็นคอซีรีส์เกาหลีแนวสืบสวน เชื่อว่าหลายคนคงจะทราบดีถึงความเก่งในการเขียนบท สร้างดราม่า สถานการณ์คับขัน ความบันเทิงของเรื่องราว แต่กับซีรีส์ Stranger ในซีซั่นแรกมันไม่ใช่เช่นนั้น ความสนุกของซีรีส์ไม่ใช่ความตื่นเต้นระทึกขวัญ แต่เป็นความแข็งแรง ความน่าเชื่อถือของบท บทสนทนาที่เชือดเฉือน แง่ง่ามที่บอกได้ยากว่าใครดีใครเลว ผู้ชมแทบจะดูไม่ออกเลยว่า ซีรีส์จะพาไปถึงบทสรุปสุดท้ายของเรื่องราวได้ยัง ในซีซั่นแรกผู้ชมจึงเหมือนเป็นผู้สังเกตการณ์ คอยติดตามอัยการฮวังชีมกกับนักสืบฮันยอจิน ไปเรื่อย ๆ ว่าพวกเขาจะเปิดโปงด้านมืดในองค์กรที่ตัวเองทำงานอยู่ได้หรือไม่ 

ส่วนในซีซั่นที่สองก็คงยังยืนยันในคำจำกัดความเดิมให้กับซีรีส์เรื่องนี้ครับ ว่ามันเป็นซีรีส์ที่เน้นขายบทจริง ๆ ซีซั่นแรกที่อ่านซับไทยไม่ทันยังไง ซีซั่นที่สองก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่ บทพูดนี่คือ เยอะและไวเอามาก ๆ ความแข็งแรงของบททำได้ดีมากพอ ๆ กันทั้งสองซีซั่นเลย เรียกว่าหากใครเคยชอบซีซั่นแรกยังไง ซีซั่นที่สองคงไม่ผิดหวังแน่นอนครับ เช่นกันว่าหากใครดูแล้วไม่ถูกใจซีซั่นแรก ซีซั่นที่สองนี้ความรู้สึกก็คงไม่แตกต่างกันครับ

ส่วนที่ผมชอบในซีซั่นที่สองนี้ก็คือ ซีรีส์รักษาตัวตนของตัวเองเอาไว้ได้ ไม่ว่าจะในประเด็นจากชื่อของซีรีส์อย่าง สเตรนเจอร์ การเป็นคนแปลกหน้า จากการตรวจสอบคนในองค์กรเดียวกัน แล้วในซีซั่นที่สองนี้ยังขยายไปถึง เรื่องของการเมืองระหว่างองค์กรตำรวจและอัยการ การจัดสรรอำนาจการสอบสวน ที่ฝั่งตำรวจก็อยากดึงอำนาจกลับคืนมาบ้าง ส่วนฝั่งอัยการก็ไม่อยากสูญเสียอำนาจที่ตัวเองมีไป 

พูดมาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะสงสัยว่า อ้าว แล้วแบบนี้ อัยการฮวังชีมกกับนักสืบฮัน จะการมาเป็นคู่ขัดแย้งกันหรือเปล่า ผมคงจะบอกได้ว่ามันก็มีทั้งในส่วนที่ทั้งคู่ต้องแข่งกัน เพื่อประโยชน์สูงสุดขององค์กรที่ตัวเองทำงานอยู่ แต่มันก็ยังมีส่วนที่พวกเขาแตะมือกัน เพื่อทำตามอุดมการณ์ที่เป็นอุดมคติในหน้าที่ของตัวเอง แม้จะต้องกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อเพื่อนร่วมงานในองค์กรก็ตามครับ

อีกอย่างหนึ่งที่ผมว่ามันต่างไปจากซีซั่นแรกก็คือ ในซีซั่นแรกแง่มุมของการสืบสวนมันค่อนข้างจับประเด็นได้ชัดเจน ไม่ค่อยชวนสับสน แต่จะชวนงงในส่วนของคนร้ายว่าจะเป็นใครกันแน่มากกว่า ส่วนในซีซั่นที่สองนี้ต้องบอกว่าตัวคนร้าย ก็ว่าเดายากไม่ต่างจากซีซั่นแรกแล้ว แต่ละประเด็น แต่ละคดีก็ต้องบอกเลยว่า ยอมใจคนเขียนบทจริง ๆ  ไม่รู้ว่าจับเอามาโยงกันได้ยังไง ตอนดูผมไม่มีความรู้สึกว่าบทมันแถนะ แต่ก็แอบคิดว่ามันเชื่อมโยงอะไรกันได้แบบ อะไรมันจะลงล็อก ลงตัว ได้ขนาดนี้  ตั้งแต่เนื้อหาตอนแรกที่คนดูอย่างเราอาจจะลืมไปแล้ว ยังสามารถโยงมาได้จนถึงตอนสุดท้าย เรียกว่าสุดจริง

รีวิวมาถึงตรงนี้หากจะให้ผมสรุปถึงซีรีส์เรื่องนี้ว่ายังไง ผมคงจะบอกว่าหากใครชื่นชอบซีรีส์สืบสวนแนวเชือด เฉือน เน้นบทพูด เนื้อหาเข้ม ๆ แน่นแน่น บทไม่ค่อยแถไม่มีลมเพลมพัด ประเด็นในซีรีส์เฉียบคม ผมคิดว่าน่าจะถูกใจซีรีส์เรื่องนี้แน่นอน แต่หากเป็นคอซีรีส์สายบันเทิงเน้นความสนุก ตื่นเต้น สถานการณ์คับขัน ซีรีส์เรื่องนี้ก็อาจจะไม่ตอบโจทย์นั้นได้เท่าไหร่ครับ 



 #MovieReview #รีวิวหนัง


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Review: All of Us Are Dead (2022)

 All of Us Are Dead (2022) มัธยมซอมบี้ Screenwriter:  Chun Sung Il Director:  Lee Jae Gyoo       ซีรีส์เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโรงเรียนมัธ...