วันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2566

Review: It's a Summer Film! (2021)

 It's a Summer Film! (2021) (เกือบจะไม่ได้)ฉายแล้วหน้าร้อนนี้

#Comedy #Fantasy #Romance Director: Sôshi Masumoto
      ฮาดาชิ (Itou Marika) นักเรียนม.ปลายที่คลั่งไคล้หนังย้อนยุค เธอพ่ายแพ้ให้กับหนังรักวัยใสเรื่อง หัวในดวงนี้มีแต่รักเธอ ของ คาริน (Coda Mahiru) ในการโหวตสร้างหนังของชมรม ซึ่งโรงเรียนมีงบประมาณจำกัดให้เพียงปีละเรื่อง หนังซามูไรวัยละอ่อนของ ฮาดาชิ จึงกลายเป็นหมัน แต่ด้วยใจรักจะให้ถอดใจล้มเลิกก็คงไม่ใช่ เพียงแต่ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การโหวตแพ้ในชมรม แต่มันเป็นเพราะว่า ฮาดาชิ ยังไม่เจอกับคนที่เหมาะสมจะมารับบทตัวละครเอกของเรื่อง กระทั่งเธอได้มาพบกับ รินทาโร่ (Kaneko Daichi) เด็กหนุ่มปริศนาที่ตรงตามสเปคพระเอกซามูไรวัยละอ่อนของเธอทุกอย่าง แต่เจ้ากรรมพ่อหนุ่ม รินทาโร่ กลับเอาแต่วิ่งหนีไม่อยากถ่ายหนังให้กับ ฮาดาชิ ซะอย่างนั้น
      หนังจากเทศกาลหนังญี่ปุ่น Japanese Film Festival ปี 2022 ที่กระแสดีเอามาก ๆ เอาจริงผมก็ได้ยินชื่อหนังมาพักใหญ่จากกลุ่มเพื่อนที่ชอบดูหนังนอกกระแส แต่ก็ข้ามไปข้ามมาไม่ได้ดูสักที จนกระทั่งทาง Japanese Film Festival เขามีให้ดูทางออนไลน์นี่แหละ แล้วเวลาก็จำกัดด้วยเลยตัดสินใจนานไม่ได้แล้ว


หลังจากดูจบผมคงบอกได้ว่าไม่อยากให้คนรักหนังพลาดเรื่องนี้ เพราะแมสเซจของเรื่องนี้พูดถึงหนังโดยตรง คือ…อาจไม่ได้ขยายความคุณค่าของหนังจนซาบซึ้งใหญ่โตอะไร แต่ก็สื่อสารออกมาเลยว่า เฮ้ย…นี่มันคือหนังนะ มันสำคัญ มันมีคุณค่าด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว เพราะหนังเป็นเสมือนเครื่องบันทึกความทรงจำของห้วงเวลานั้น ที่เชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน อนาคตเข้าด้วยกัน เหมือนที่คนในปัจจุบันไม่เคยเห็นภาพยุคสมัยในอดีต ก็สามารถมองเห็นวิถีชีวิต แนวคิดของผู้คนในอดีตผ่านหนังย้อนยุคได้ แล้วเมื่อวันหนึ่งปัจจุบันกลายเป็นอดีต หนังก็จะเป็นเครื่องมือที่บันทึกยุคสมัยปัจจุบัน ให้ผู้คนในอนาคตมองเห็นภาพในปัจจุบันและอดีตได้ รวมถึงคนในอดีตและปัจจุบันก็สามารถเห็นฉากทัศน์ของโลกอนาคต ผ่านจินตนาการไซไฟในหนังอีกด้วย เห็นมั้ยล่ะครับ นี่ขนาดหนังเรื่องนี้ ยังไม่ได้ขับเน้นถึงคุณค่าความดีงามในแง่ของบท นักแสดง โปรดักชั่น หรือศิลปะ ออกมามากเลยนะครับ หนังฟอร์มเล็กที่ดูเหมือนเด็ก ๆ เรื่องนี้ ยังสื่อสารออกมาใด้สัมผัสความรู้สึกเอามาก ๆ

หนังแอบมีความตลกร้ายจิกกัดอยู่ในทีครับ อาจจะไม่ได้ทำให้เราขำทันทีในฉากนั้น แต่ถ้าเก็ตเมื่อไหร่ต้องมีหลุดขำแน่นอน เรียกว่าอาจจะขำช้าแบบดีเลย์กันสักหน่อย ไม่ว่าจะการพูดถึงหนังที่แค่จับผู้หญิงมาใส่ชุดยูกาตะ ก็บอกว่าหนังได้ใส่ฉากย้อนยุคเข้าไปแล้ว การที่หนังรักเอาแต่คำว่า “รัก” ยัดใส่ปากตัวละคร โดยที่ไม่ได้สร้างเรื่องราวให้คนดูรู้สึกว่าตัวละครนั้นรักกัน หรือการพูดถึงความเร่งรีบที่ทำให้ความสุนทรีกลายเป็นสิ่งไม่จำเป็น ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงพฤติกรรมของหลายคนในยุคปัจจุบัน ที่มักเสพสื่อสั้น ๆ แบบฉาบฉวย

เอาให้เห็นภาพเลยครับ ทุกวันนี้โซเชียลมีเดียที่ได้รับความนิยม กลายเป็นแพลตฟอร์มวีดีโอสั้น หรือต้องมีวิดีโอสั้นร่วมด้วยไปหมดแล้ว หลายคนก็ไม่ดูหนังความยาวเกือบสองชั่วโมง แต่เลือกที่จะดูสปอยหรือสรุปเนื้อเรื่องที่มีความยาวไม่กี่นาทีแทน เอาแค่สามจุดนี้ที่หนังหยิบมายั่วล้อ ก็มี 

คอนเทนต์ (CONTENT)

 ในทำนองนี้ออกมาให้เห็นเยอะแยะ ผมเลยไม่แปลกใจครับที่หลายคนชอบหนังเรื่องนี้กันมาก ๆ ถึงอย่างนั้นแม้จะบอกว่าหนังมีความจิกกัดก็จริง แต่ที่สุดแล้วหนังก็ไม่ได้ตัดสินอะไรเสียทีเดียว ยังมีความประณีประนอมอยู่พอสมควรครับ

เนื้อหาของหนังเอาจริงก็ไม่ได้เยอะ หรือเข้มข้นหรือซับซ้อนอะไรมากครับ พูดตามตรงหากยกเอาแมสเชจที่หนังสื่อสารออกไป เรื่องนี้ก็เป็นหนังที่เล่าถึงเด็กนักเรียนกลุ่มหนึ่ง ที่รวมตัวกันในชมรมเพื่อถ่ายหนังเท่านั้นเองครับ ส่วนที่ช่วยประคับประคองหนังได้ นอกจากความตลกร้ายที่ผมเพิ่งพูดถึงไปแล้ว เห็นจะเป็นดนตรีประกอบที่สร้างความ alert ตื่นตัว เข้ากับธีมของหนังที่ช่วยเร้ากระตุ้นความสนใจคนดู

ส่วนนักแสดงในเรื่องที่คุ้นหน้าคุ้นตาสักหน่อย เห็นจะเป็น โกโต ยูทาโร่ ที่เอาจริงก็ไม่ได้มีบทบาทอะไรในหนังเท่าไหร่ บทสมทบแบบสมทบมาก ๆ นอกนั้นเรียกได้ว่าไม่คุ้นหน้าใครเลยสักคน จะว่าไปก็เป็นข้อดีเหมือนกันนะครับ มันให้ความรู้สึกเหมือนเรากำลังดูเด็กมัธยมกลุ่มหนึ่งพยายามถ่ายหนังกันอยู่จริง ๆ ส่วนคนที่เด่นที่สุดเห็นจะเป็นปรมาจารย์ผู้กำกับหนังย้อนยุค ฮาดาชิ นี่แหละ ตัวละครที่มีตัวตนค่อนข้างชัดเจน ถ้าเป็นเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งก็เป็นคนที่รู้ว่าตัวเองอยากทำอะไร อยากเป็นอะไร แล้วอีกอย่างหนึ่งเวลาผมดูหนังญี่ปุ่นที่พูดถึงเด็กมัธยมปลาย ผมไม่รู้ว่าในสภาพการศึกษาจริงของเขาเป็นยังไงนะ แต่ในหนังญี่ปุ่นเวลาเขากล่าวถึงชมรมหรืองานโรงเรียน จะรู้สึกว่ากิจกรรมพวกนี้มันทำให้เด็กค้นหาความชอบหรือสิ่งที่สนใจได้เร็วขึ้น จนบางทีก็แอบนึกถึงตัวเองจนเรียนจบมหาลัย ยังไม่รู้เลยว่าอยากทำหรืออยากเป็นอะไร

ช่วงท้ายรีวิวแล้วขอสรุปเลยก็แล้วกันนะครับ อย่างที่บอกไปว่า “คนรักหนัง” น่าจะ “รัก” หนังเรื่องนี้ได้ไม่ยากครับ สื่อสารง่าย ตรงประเด็น ผมว่าคนเก็ตกับหนังด้วยแหละเลยชอบกันเยอะ แต่โดยภาพรวมผมว่ากลุ่มคนดูหนังทั่วไปก็ยังบันเทิงไปกับหนังได้ หากมองในโหมดความบันเทิงเป็นหลัก หนังก็ยังดูสนุกย่อยง่ายกับการเอาใจช่วยเด็กกลุ่มหนึ่งให้สามารถถ่ายทำหนังได้สำเร็จ เขียนรีวิวมาถึงตรงนี้ก็แอบนึกไปถึง Why Don't You Play in Hell? ของ Sion Sono เหมือนกันนะ พูดถึงความพยายามของคนรักหนังกลุ่มหนึ่งในการสร้างหนังเหมือนกัน แค่ธีมหลักของทั้งสองเรื่องต่างกันสุดขั้วเท่านั้นเอง

ขอบคุณภาพประกอบจากภาพยนตร์: It's a Summer Film! (2021)

#MovieReview #รีวิวหนัง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Review: The King of Pigs (2022)

The King of Pigs (2022) #Thiller   #Drama Director: Kim Dae-Jin Writer: Tak Jae-Young       ฮวังคยองมิน (Kim Dong-Wook) ประธานบริษัทขนส่งผู้...