วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2564

Review: Nothing to Lose (SBS 2017)

 Nothing to Lose (SBS 2017) 32 EP aka Judge vs. Judge

#ปีนรั้วรีวิว #Drama
      อีจองจู (Eun-bin Park) ผู้พิพากษามือใหม่ต้องเจอกับเรื่องน่าปวดหัว ขณะนั่งอยู่บนบัลลังก์พิจารณาคดีของ คิมจูฮยอง (Bae Yoo-Ram)จำเลยในคดีล่วงละเมิดทางเพศเด็ก เมื่อเขาไม่มีท่าทีสำนักต่อความผิดของตนเอง อีจองจู ที่ระงับสติอารมณ์ไม่อยู่ จึงเผลอแสดงความเกรี้ยวกราดออกมา จนกลายเป็นข่าวฉาวโด่งดังไปทั่วเมือง

ขณะเดียวกันการพิจารณาคดีของผู้พิพากษาหนุ่ม ซาอึยฮยอน (Woo-jin Yeon) ก็เกิดเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดขึ้นเช่นกัน เมื่อจำเลยคดีฆาตกรรมสามีของตนเองอย่าง จางซุนบก (Park Ji-A) พยายามฆ่าตัวตาย และใช้เลือดเขียนคำตัดพ้อถึงความอยุติธรรมของศาล เหล่าผู้พิพากษาชั้นผู้ใหญ่ จึงต้องใช้เรื่องวุ่นของ อีจองจู ที่ดูจะเบากว่า การพยายามฆ่าตัวตายของจำเลยในศาล มากลบเกลื่อนความอื้อฉาวที่กำลังเกิดขึ้นมา

แต่ที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อนก็คือ เรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นระหว่างการพิจารณาคดี ของทั้งสองศาลนั้นมันมีความเกี่ยวข้องกัน เมื่อ อีจองจู ได้รู้ว่า จางซุนบกและลูกชายนั้นรู้จักกับ ชเวคยองโฮ (Ji Seung-Hyun) พี่ชายของเธอ ที่ติดคุกมานานถึง 10 ปีแล้ว ด้วยความผิดคดีข่มขืนแล้วฆ่าเด็กนักเรียนมัธยมต้นคนหนึ่ง ที่แม้เธอเองจะเป็นน้องสาวของเขา แต่ก็เชื่ออย่างสนิทใจว่าพี่ชายกระทำความผิดจริง ทว่าด้วยคำยืนยันของลูกชายจางซุนบก และหลักฐานต่าง ๆ ที่มีเพิ่มเติมเข้ามา มันกลายเป็นว่าพี่ชายของเธออาจเป็นผู้บริสุทธิ์ และคนร้ายตัวจริงอาจอยู่ใกล้ตัวกว่าที่เธอคิด
      ซีรีส์กฎหมาย ดราม่า ที่ว่าด้วยการต่อสู้คดีในชั้นศาล แต่หากจะให้พูดตรง ๆ เนื้อหาส่วนของการต่อสู้คดี ก็ไม่ได้เข้มข้นหรือมีการชิงไหวชิงพริบกันเท่าไหร่ เพราะถึงแม้ซีรีส์จะเกี่ยวกับการฆาตกรรม แต่ก็ค่อนข้างมองโลกในแง่ดีพอสมควร เมื่อดูจะเน้นย้ำเรื่องของการสำนักต่อความผิดของตัวเองเป็นสำคัญ คนดูจึงไม่ค่อยเห็นความพยายามในการดิ้นรนหนีความผิด หรือใช้อำนาจมืดที่มีเพื่อปัดความผิดให้พ้นตัวสักเท่าไหร่ อาจจะด้วยเรื่องที่เล่านั้นเกี่ยวกับผู้พิพากษาโดยตรง จึงต้องมีการรักษาภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือขององค์กรไว้ด้วยล่ะมั้ง

ตอนที่ดูผ่านไป 3-4 ตอนแรก ผมก็แอบบ่นในใจถึงซีรีส์เหมือนกันนะ เหมือนว่าจะเฉลยเรื่องราวต่าง ๆ ออกมาไวเกินไปหรือเปล่า เพราะเหมือนจะบอกแล้วว่าใครที่เป็นคนร้ายตัวจริง แต่พอเริ่มตอนที่ 5 เป็นต่นมา ก็เริ่มเอ๊ะ…สงสัยที่เดามาในทีแรกจะไม่ถูกเสียแล้ว ดูเหมือนว่าจะมีบุคคลต้องสงสัยเพิ่มขึ้นมาอีกสองสามคน ที่มีโอกาสเป็นคนร้ายได้เท่า ๆ กัน อารมณ์ความฉงนงงงวยของผมอยู่ยาวไป

จนถึงประมาณตอนที่ 13 ภาพเรื่องราวต่าง ๆ ที่ซีรีส์นำเสนอมา ถึงเริ่มชัดเจนมากขึ้น ตอนนี้ก็พอจะเดาได้แล้วว่าใครกันคือผู้บงการที่แท้จริง ถึงกระนั้นจะบอกว่าเดาได้ก็จริง แต่เหตุผลแรงจูงใจต่าง ๆ ก็ยังเป็นปริศนาทั้งหมด กว่าคนดูจะได้รู้ก็จนถึงบทสรุปของเรื่องราวนั้นแหละ

ตลอด 32 ตอนของซีรีส์ มีแทรกคดีย่อยเข้ามาบ้างเป็นระยะ แต่ก็เป็นอะไรที่แทบไม่ได้มีผลกับเส้นเรื่องหลักเลย เหมือนใส่เข้ามาให้เรื่องมันยาว ๆ ไว้ก่อนเท่านั้นเอง ทั้งที่จะว่าไปคดีที่เพิ่มเข้ามาในตอนท้ายเรื่อง อย่างการทำร้ายร่างกายของเด็กนักเรียน หากขยับเอามาใส่ช่วงกลางเรื่องน่าจะดึงดราม่าได้มากกว่านี้ เพราะคดีมันมีผลต่อผู้พิพากษาสูงสุดซอแดซู (Kim Min-Sang) อีกหนึ่งตัวละครของเรื่อง ที่มีการเปลี่ยนแปลงทัศนคติบางอย่างไปจากเดิมที่เคยมี

ที่ผมอยากจะบอกก็คือซีรีส์ให้น้ำหนักแอร์ไทม์ คดีของตัวละครเอกมาก จนตัวละครอื่นกลายเป็นยิ่งกว่าตัวประกอบเสียอีก หลายตัวละครที่ใส่เข้ามาเยอะ ๆ ยังไม่รู้เลยว่าใส่เข้ามาทำไม อย่างกลุ่มนักศึกษาที่มาฝึกงานกันที่ศาลนั่น ก็แทบไม่ได้มีบทบาทอะไรเลย หรือเรื่องราวของผู้พิพากษาคนอื่น ๆ ก็นำมาเล่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง ทั้งที่ก็ดูมีประเด็นน่าหยิบยกมาเล่าขยายความเหมือนกัน

ข้อดีของการให้แอร์ไทม์ตัวละครเอกเยอะ มันก็ทำให้ความสัมพันธ์ของตัวละครมันลึกซึ้ง แล้วก็สื่อในสิ่งที่ซีรีส์อยากให้คนดูเห็นได้ชัดขึ้น(แม้จะยังรู้สึกว่า ก็ไม่ได้ทำให้อินอยู่ดี) อย่างเรื่องรักสามเศร้าของคนสองรุ่น ที่มันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดเรื่องราวต่าง ๆ ตามมา จนกลายเป็นความรู้สึกผิด

เลยต้องช่วยกับกลบเกลื่อนบาดแผลและความผิดที่เกิดขึ้นเอาไว้ แต่ด้วยความที่ซีรีส์มันโลกสวย ดราม่าความหน่วงเรื่องรักสามเศร้ามันจึงแทบไม่มีเลย เพราะแต่ละตัวละครก็เป็นคนดีกันเหลือเกิน จะว่าเป็นข้อเสียที่ทำให้เนื้อหามันไม่เข้มข้นก็ได้ จะว่าเป็นข้อดีที่ทำให้ดูเพลินไม่ตะขิดตะขวงใจก็คงไม่ผิดเช่นกัน

หลักใหญ่ใจความของซีรีส์พยายามพูดถึง การให้ความยุติธรรมในภาพอุดมคติที่ควรเป็น ไม่ว่าจะต่อตนเองหรือผู้อื่น การทำหน้าที่ของผู้พิพากษาหรือคนที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรม หากคนกระทำผิดเป็นคนใกล้ชิด คนในครอบครัว ญาติพี่น้อง เพื่อน คนรู้จัก หรือแม้กระทั่งตนเอง ที่เป็นผู้ถือกฎหมายกระทำผิดเสียเอง คนในกระบวนการยุติธรรมเหล่านี้ จะยังสามารถอำนวยความยุติธรรมให้แก่สังคมได้อยู่ไหม เพราะที่พึ่งสุดท้ายของประชาชนก็คงไม่พ้นศาล หากเกิดเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจขึ้นมา

สรุปแล้ว Nothing to Lose (SBS 2017) เป็นซีรีส์ที่แม้จะพูดได้ว่าไม่ถึงกับลงตัวสนุกมากนัก แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดูได้เพลิน ๆ สำหรับคนอยากดูซีรีส์เนื้อหาเกี่ยวกับกฎหมาย ที่ไม่หนักหน่วง ซีเรียส จริงจัง จนเกินไป ความเซอร์วิสชวนจิ้นโรแมนติก อาจจะน้อยไปหน่อยแต่หากชอบความสัมพันธ์แบบผู้ใหญ่ที่เว้นระยะห่างให้กัน แต่ก็คอยดูแลเอาใจใส่ค่อย ๆ หยอดทีละเล็กน้อย ก็ถือว่าพอได้อมยิ้มกับเนื้อหาส่วนนี้อยู่นะ

ขอบคุณภาพประกอบจากภาพยนตร์: Nothing to Lose (SBS 2017)
 
ฝากช่องยูทูปรีวิวหนังช่องเล็ก ๆ ด้วยครับผม:  https://www.youtube.com/channel/UCo1Txn08XONf92m_kngztWQ 


#SeriesReview #รีวิวซีรี่ส์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Review: Again My Life (2022)

 Again My Life (2022) #Law #Drama #Fantasy  Director:   Han Cheol Soo ,  Kim Yong Min Screenwriter:  Kim Yool, J       คิมฮีอู (Lee Joon Gi)...