วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2564

Review: Rosebud (2019)

 Rosebud (2019)

#ปีนรั้วรีวิว #Drama #Comedy Director: Jo Seok-Hyun
      ฮงจางมี (Ha Yeon-Soo) สาวน้อยที่กลางวันทำงานเป็นสาวโรงงานเย็บผ้า พอตกลางคืนเธอทำงานพิเศษ เป็นพนักงานเสิร์ฟในบาร์ ความใฝ่ฝันของ จางมีคือการได้เป็นนักร้องที่มีชื่อเสียงในมือถือไมค์ไฟส่องหน้า และแล้ววันที่เธอรอคอยก็มาถึง เมื่อนักร้องประจำบาร์ที่เธอทำงานอยู่เกิดเบี้ยวไม่ยอมมาทำงาน จางมี ก็เลยอาสาควงไมค์ขึ้นไปร้องเพลงเอง จนแก้ไขสถานการณ์ให้กับร้านได้

โชคชั้นที่สองก็คือในวันนั้นมี ฮันมยองฮี (Hwang Suk-Jung) เจ้าของค่ายเพลงเข้ามาดื่มในร้านพอดี มยองฮี ประทับใจในความสามารถของ จางมี จึงคิดผลักดันเธอเป็นศิลปินคู่กับ ซุนชอล (Choi Woo-Sik) แล้วโชคชั้นที่สามในคืนนั้นก็คือจางมิได้พบรักกับ มยองฮวาน (Lee Won-Geun) หนุ่มนักศึกษาแพทย์ ที่ตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกเห็น ทว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเธอเมื่อ ฮงจางมี ในเวลาหลายปีต่อมา เป็นเพียงพนักงานขายตรงเครื่องคั้นน้ำผลไม้ เธอต้องทำงานงก ๆ ทุกวัน เพื่อดูแล ฮยอนอา (Chae Soo-Bin) ลูกสาววัยมัธยมแสนดื้อของเธอ
      หนังที่ตอนดูตัวอย่างในทีแรก คิดว่าน่าจะให้ความรู้สึกคล้ายๆกับเรื่อง Sunny (2011) บวกกับ ยูโฮจอง นักแสดงนำของเรื่อง ก็เคยแสดงเป็น นามิ ใน Sunny ด้วย เลยทำให้คิดว่าหนังจะออกมาในโทนใกล้เคียงกัน ที่เป็นหนังย้อนวัยความใฝ่ฝันในอดีตอะไรทำนองนั้น

แต่พอได้ดูจริง ๆ แล้ว ถึงจะมีกล่าวถึงเนื้อหาความใฝ่ฝันก็จริง แต่หลักใหญ่ใจความของหนัง กล่าวถึงดราม่าความสัมพันธ์ ระหว่าง ฮงจางมีกับฮยอนอา มากกว่า เพราะแม่ลูกคู่นี้มีปัญหาอะไรทับซ้อนกันอยู่หลายเรื่อง ไม่ว่าจะการเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวของ จางมี ความลำบากของเธอทำให้ไม่มีเวลาดูแลลูกสาวได้เต็มที่ รวมทั้งปมปัญหาเรื่องราวในอดีต ลูกสาวอย่าง ฮยอนอา เองก็ไม่เข้าใจแม่ คิดว่าแม่อึดอัดที่ต้องเลี้ยงดูเธอ เมื่อมีลุง ซุนชอล ที่ดูแลและรอคอยแม่ของเธออยู่เสมอ ฮยอนอา จึงคิดว่าที่แม่ไม่สามารถมีสามีใหม่ได้ก็เพราะเธอเอง

การดำเนินเรื่องของหนังเล่าสลับกันสามช่วงเวลา คือช่วง ฮงจางมี ในวัยสาวที่กำลังไต่เต้าเป็นนักร้อง ฮงจางมี ที่กลายเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ที่บุกบั่นทำงานหนักเพื่อดูแลลูกสาว เป็นช่วงที่ฝ่ามรสุมชีวิตต้องตัดสินใจในสิ่งสำคัญ ต่ออนาคตของตัวเองและลูกสาวหลายอย่าง ซึ่งมันสะท้อนให้เธอเห็นการพลาดโอกาสของตัวเองในอดีต เธอจึงไม่อยากให้ ฮยอนอา พลาดโอกาสทำตามความฝันเหมือนกันกับเธอ และช่วงชีวิตสุดท้ายที่หนังเล่าก็คือ ฮงจางมี ที่เปิดบ้านพักให้เช่าริมทะเล โดยมี ซุนชอล เพื่อนแท้ ผู้ชายที่รอคอยเธอมาทั้งชีวิต เป็นคนคอยขับรถรับส่งนักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการ

หลังจากดูจบแล้วสิ่งที่ผุดเข้ามาในหัวสำหรับเรื่องนี้เลยก็คือ เรื่องราวในหนังไม่ได้มีอะไรใหม่พล็อตในทำนองนี้ ถูกนำมาเล่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า อาจจะเปลี่ยนแปลงเนื้อหาต่างกันไปบ้างเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าได้เห็นบ่อยจนไม่คิดว่ายุคนี้จะยังมีคนนำมาใช้อีก กระนั้นถึงผมจะบอกว่าเรื่องราวมันเชยก็ตาม หนังก็ยังทำได้ตามมาตรฐานความบันเทิงนะ ช่วง 40 นาทีแรกถือว่าได้หลาย ฮา เลยล่ะ พอผ่านช่วงแรกมาแล้วหนังถึงจะเริ่มเข้าโหมดดราม่าจริงจัง

แม้จะไม่ใช่ดราม่าเรียกน้ำตา แต่เป็นดราม่าวัดใจ ตึงเครียด สำหรับคนเป็นแม่ ที่ต้องแก้ไขปัญหาความไม่เข้าใจระหว่างลูกสาว ความลำบาก ปัญหาชีวิตที่รุมเร้าเข้ามา จนเธอแอบคิดว่าหากเธอปล่อยลูกสาวไป มันอาจจะดีกับชีวิตของลูกมากกว่าอยู่กับเธอ ซีนดราม่าเรียกน้ำตาได้จริง ๆ คงมีเพียงแค่ซีนเดียว ฉากเกือบสุดท้ายใกล้จบเรื่อง ที่การรอคอยมันสิ้นสุดเสียที

สรุปแล้ว Rosebud (2019) เป็นหนัง ดราม่า คอมเมดี้ ที่ถึงจะบอกว่าไม่มีอะไรใหม่ แต่หนังแต่ยังทำได้ตามมาตรฐาน คือยังตอบโจทย์ความบันเทิงได้ ทั้งในแง่มุมความตลกในช่วงแรก และดราม่าความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูก หนังมีความยาวเกือบสองชั่วโมง กับเนื้อหาที่อาจดูน้อยไปนิด แต่ก็ยังสามารถดึงความสนใจคนดูเอาไว้ได้ ไม่ได้รู้สึกว่าหนังน่าเบื่ออะไรครับ

ขอบคุณภาพประกอบจากภาพยนตร์: Rosebud (2019)
 
ฝากช่องยูทูปรีวิวหนังช่องเล็ก ๆ ด้วยครับผม:  https://www.youtube.com/channel/UCo1Txn08XONf92m_kngztWQ 


#MovieReview #รีวิวหนัง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Review: Dali & the Cocky Prince (2021)

 Dali & the Cocky Prince (2021) Director:  Lee Jung-Sub Writer:  Son Eun-Hye, Park Se-Eun       จินมูฮัก (Kim Min-Jae) ทายาทเจ้าของธุรกิ...