วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2562

Vertigo (1958)

Vertigo (1958) พิศวาสหลอน
#ปีนรั้วรีวิว #Mystery #Romance #Thriller Director: Alfred Hitchcock

      จอห์น เฟอร์กูสัน (James Stewart) ตำรวจที่ตัดสินใจลาออกจากราชการ สาเหตุเนื่องมาจากการที่เขาเป็นโรคกลัวความสูง จนเป็นส่วนให้เพื่อนร่วมงานต้องเสียชีวิต จอห์น เองก็ยังไม่รู้ว่าหลังจากออกจากงานแล้วเขาจะทำอะไรต่อไป แต่ที่แน่ๆด้วยฐานะการเงินของเขาแล้ว งานคงไม่มีความจำเป็นสักเท่าไหร่ แถมยังมี มิดจ์ (Barbara Bel Geddes)เพื่อนซี้อดีตคู่หมั่น เสนอตัวเป็นแม่บ้านดูแลตัวเขา แต่ จอห์น กลับยังต้องการที่จะอยู่ตามลำพังคนเดียว
จอห์น ได้รับการติดต่อจากเพื่อนเก่าสมัยเรียน ที่ไม่ได้พบกันมานานว่าต้องการพบ เขาจึงตัดสินใจไปพบกับ แกวิน เอลส์เตอร์ หนุ่มนักธุรกิจอู่ต่อเรือ หลังจากเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานาน ถามสารทุกข์สุขดิบเสร็จ แกวิน จึงเข้าเรื่องที่เขาต้องการพบกับ จอห์น ในครั้งนี้ก็คือ เขาต้องการให้ จอห์น ใช้ความสามารถ การเป็นอดีตตำรวจในการสะกดรอยตาม เมดดาลีน (Kim Novak) ภรรยาของเขา
      สาเหตุไม่ใช่ว่าเธอนั้นแอบมีชู้ เพียงแต่ว่า เมดดาลีน นั้นมักจะขับรถหายออกไปจากบ้านเป็นเวลานาน และเธอคิดว่าตัวเองคือ คาล็อตตา บัลเดส ผู้หญิงที่ตายเมื่อนานมาแล้ว ในทีแรก จอห์น นั้นไม่อยากรับงานนี้เลย เพราะเขาเองก็อยากหนีให้ไกลจากเรื่องยุ่ง ทว่าหลังจากที่ จอห์น ได้เห็น เมดดาลีน เพียงครั้งแรก เขาก็ไม่อาจปฏิเสธคำขอของเพื่อนเก่าได้อีกต่อไป

ผลงานมาสเตอร์พีช อีกชิ้นหนึ่งของปรมาจารย์หนังระทึกขวัญสยองขวัญ อัลเฟรด ฮิตช์ค็อก (Alfred Hitchcock) แล้วก็เป็นอีกเรื่องนึง ที่กาลเวลาไม่สามารถทำอะไรได้ แม้ภายในตัวหนังจะดูเก่าก็จริง แต่ไอเดียของหนังก็ยังดูสดใหม่เสมอ Vertigo (1958) เรื่องนี้เล่นเรื่องราวความกลัวในใจ อย่างโรคกลัวความสูง จริงอยู่ที่แม้จะไม่ใช่ความผิดของ จอห์น แต่โรคนี้ก็มีส่วนทำให้เพื่อนร่วมงานของเขาเสียชีวิต และที่น่ากลัวยิ่งกว่าโรคกลัวความสูงก็คือ ความรู้สึกผิดในใจ

      หนังซ่อนหักมุมในองค์แรกได้ดีมิดชิดมากเลยนะ การกลับมาดูอีกครั้งหลังจากลืมเลือนเนื้อเรื่องไปจนเกือบหมดแล้ว แม้ด้วยความเป็นหนังเก่า จังหวะการเฉลยอาจจะไม่ถึงขนาด ทำให้เราเหวอแบบหนังหักมุมสมัยใหม่ แต่มันก็มีอิมแพ็คกับความรู้สึกของเรา เมื่อถึงตอนที่ตัวละคร จอห์น เริ่มมีอาการแปลกไป สำหรับส่วนตัวแล้วโรคกลัวความสูงของ จอห์น ยังไม่น่ากลัวเท่า เมื่อถึงตอนที่เขาอยากจะรักษาแผลในใจให้หาย เพราะมันเหมือนกับว่า เขาพร้อมทำทุกอย่าง เพื่อไปให้ถึงจุดหมายที่ว่านั่น เหมือน จอห์น สติหลุดโกรธเกลียดทุกคนที่ทำกับเขาแบบนั้น
      ด้วยความที่เป็นหนังเก่า แล้วคนที่ไม่คุ้นเคยเชื่อว่า อาจจะต้องมีการปรับตัวสักนิดนึง เพราะมันจะมีบางช่วงเหมือนกัน ที่หนังอาจจะเล่ายืดยาว วนซ้ำหลายฉากเดิมๆ อย่างการที่ จอห์น ต้องตระเวนขับรถสะกดรอยตาม เมดดาลีน นี่ก็เป็นฉากที่ใช้เวลานานพอควร และวนซ้ำหลายรอบ แต่ด้วยฉากเดียวกันนี้หนังก็มีเล่นตลกยั่วล้อคนดูด้วยเหมือนกัน กับการให้ จอห์น ทำหน้าเซ็งๆลุ้นว่าเมื่อไหร่ เมดดาลีนจะจอดเสียที แต่เธอก็ขับเตร่ไปเรื่อยไม่ยอมจอดรถ จนกระทั่งสุดท้ายกลับวนมาที่บ้านของ จอห์น เอง ซึ่งฉากนี้ตอนที่ดู ยอมรับตามตรงเลยมีความรู้สึกไม่ต่างจาก จอห์น แทบจะทำหน้าเหวี่ยงในจังหวะเดียวกันเลย ฮ่าฮ่า
      หากเทียบเรื่องการดึงอารมณ์ร่วมคนดู ส่วนตัวแล้ว Rear window (1954) หน้าต่างชีวิต สร้างความอยากรู้อยากเห็น ให้กับคนดูได้มากกว่านะ ด้วย Rear window อาจจะตรงจริตคนมากกว่า ในเรื่องการสอดรู้สอดเห็นเรื่องของชาวบ้าน แต่กับ Vertigo แม้หนังจะสร้างประเด็น ความอยากรู้อยากเห็นผ่านตัวละคร จอห์น ก็จริง แต่หนังเน้นไปที่ ความกลัว ความรู้สึกผิด เสียมากกว่า หากถามว่าระหว่างความกลัว กับความรู้สึกผิดอันไหนมันน่ากลัวมากกว่ากัน จากหนังเรื่องนี้คงตอบได้ว่า ความรู้สึกผิด นี่แหละที่น่ากลัว เพราะมันทำให้คนเราอยากเอาชนะ อยากก้าวข้าม ความผิด ความกลัว และอย่างที่บอกไปตอนต้นแหละว่า พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อไปให้ถึงจุดหมายนั้น
      สรุปแล้ว Vertigo (1958) พิศวาสหลอน แม้จะเป็นหนังเก่ามากๆแล้ว แต่ก็ยังเอาชนะการเวลาได้เมื่อเนื้อหายังดูสดใหม่เสมอ แต่ก็ด้วยความที่เป็นหนังเก่า การนำเสนอก็อาจจะไม่ปรู๊ดปร๊าดทันใจ เหมือนหนังในสมัยนี้ ใครที่คิดจะดูก็อาจจะต้องปรับอารมณ์ เตรียมใจล่วงหน้ากันไว้บ้าง
 
ขอบคุณรูปภาพจากภาพยนตร์ : Vertigo (1958) 

#MovieReview #รีวิวหนัง



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Review: #Alive (2020)

 #Alive (2020) คนเป็นฝ่านรกซอมบี้ Screenwriter & Director:   Jo Il Hyung       ตั้งแต่ทั่วโลกได้รู้จักกับ Train to Busan ก็ต้องบอกว่า ไม...