จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อคน 7 คนถูกจับมาขังรวมกันในห้องปิดตายเพื่อเล่นเกมพิพากษา
7 บาป lust(ราคะ), gluttony(ตะกละ), greed(โลภ),
sloth(เกียจคร้าน), wrath(โทสะ), envy(ริษยา)
and pride(อัตตา)
คน 7 คนตื่นขึ้นมาในห้องปิดตายและถูกล่ามไว้ด้วยโซ่ติดกับที่นั่งของตัวเอง
เบื้องหน้าคือจอคอมพิวเตอร์ที่เปิดเผยใบหน้าคนทั้ง 7 ทว่าพวกเขาเหล่านั้นกลับไม่สามารถรู้ได้ว่าใครเป็นใคร
เมื่อทุกคนถูกสวมหน้ากากรูปสัตว์เอาไว้ไม่ว่าจะเป็น หมาป่า (Kôji Seto) สิงโต(Kasumi Arimura) สุนัขจิ้งจอก(Jirô Satô) หมี(Kazuyoshi Taira) หมู(Fukino Kawate) สนุข(Sôtarô Tanaka)
แล้วก็กระต่าย(Yûko Nishimaru)
เพื่อเป็นตัวแทนบาปของแต่ละคน
หลังจากที่ทุกคนเริ่มตั้งสติได้เกมพิพากษาก็ได้เริ่มต้นขึ้น เมื่อมีคำสั่งว่าให้ทั้ง 7 ดูเรื่องราวความผิดบาปของแต่ละคนแล้วก็ตัดสินใจว่าจะให้ใครโดนตัดสินประหารภายในเวลาที่กำหนดเอาไว้ ซึ่งในทีแรกบางคนกลับคิดว่า คงมีใครแกล้งพวกเขาและคิดว่ามันเป็นเรื่องตลก จึงตัดสินใจโหวตสุ่มไปมั่วๆ แต่มันกลับไม่ใช่เรื่องตลกอย่างที่คิดเพราะว่าคนที่ถูกตัดสินประหารนั้นตายจริง ทว่าอย่างน้อยก็มีคนที่พอจะมีสติอย่างพ่อหนุ่มใต้หน้ากากหมาป่า
ที่เสนอให้ทุกคนโหวตประหารชีวิตตัวเองเผื่อว่ามันอาจจะเป็นทางออกช่วยชีวิตทุกคนได้ เพียงแต่ว่าสถานการณ์อย่างนั้นเราจะไปเชื่อใจใครได้ เพราะหากโหวตตัวเองนั่นก็เท่ากับว่าเป็นแต้มต่อให้กับคนอื่นไปแล้ว
1 แต้มเลยนะ
ใครกันจะยอมเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงแบบนั้นจริงมั้ย
หนังที่สร้างจากมังงะ ของ Yoshiki
Tonogai ที่ผมว่าไอเดียดีนะ
แต่พอเอามาทำเป็น live-action เหมือนคนทำหนังจะลืมหยิบเอาหัวใจของมังงะมาด้วยหรือเปล่า(ยังไม่เคยอ่านมังงะนะครับ)
เพราะว่าเนื้อเรื่องมันเล่าถึงความผิดบาปของแต่ละคนแต่กลายเป็นว่าทุกตัวละครในหนังเรื่องนี้มันแทบจะถูกถอดแบบออกมาเหมือนๆกันหมด ไม่มีตัวละครไหนที่แสดงออกถึงความผิดบาปในแง่มุมของตัวเองได้เด่นชัดสักคน
มีเพียงแต่ว่าทุกคนต่างซ่อนตัวตนที่แท้จริงเอาไว้ใต้หน้ากากด้วยกันทั้งนั้น
สถานการณ์หรือ mission ที่ให้ตัวละครต้องเผชิญมันก็ไม่ได้หนักหนาขนาดที่ทำให้เราตื่นเต้นได้ขนาดนั้น พูดง่ายๆว่าความตื่นเต้นของหนังมีน้อยมาก สิ่งที่พอจะทำให้เราติดตามหนังไปได้ก็คือการลุ้นที่ว่า พวกเขาจะเลือกกดโหวตให้ใครโดนประหารใครจะเป็นรายต่อไปเท่านั้นเอง ซึ่งจากในหนังไม่มีใครตัดสินใจเลือกจากบาปของแต่ละคนเลย แต่กลับเป็นการตัดสินใจบนเหตุผลของการเอาชีวิตรอดเสียมากกว่า
สถานการณ์หรือ mission ที่ให้ตัวละครต้องเผชิญมันก็ไม่ได้หนักหนาขนาดที่ทำให้เราตื่นเต้นได้ขนาดนั้น พูดง่ายๆว่าความตื่นเต้นของหนังมีน้อยมาก สิ่งที่พอจะทำให้เราติดตามหนังไปได้ก็คือการลุ้นที่ว่า พวกเขาจะเลือกกดโหวตให้ใครโดนประหารใครจะเป็นรายต่อไปเท่านั้นเอง ซึ่งจากในหนังไม่มีใครตัดสินใจเลือกจากบาปของแต่ละคนเลย แต่กลับเป็นการตัดสินใจบนเหตุผลของการเอาชีวิตรอดเสียมากกว่า
จุดประสงค์ของคนที่จับมาก็ดูกำกวมว่าต้องการอะไร ต้องการแค่ให้บทเรียนให้ทุกคนสำนึกในความผิดแล้วมันก็มีทางรอดจริงๆ หรือว่าจริงแล้วก็ตั้งใจเอาทุกคนมาเชือด เพียงแต่ว่าก่อนตายก็ขอเอามาเล่นเกมเพื่อความบันเทิงของตัวเองและใครๆเสียก่อน เป็นหนังที่บทสรุปสุดท้ายแล้ว มันอาจจะหมายความว่า คนดีมันไม่มีจริงหรอก มันมีแต่คนที่ดีในบางสถานการณ์…เมื่ออยู่ในสถานการณ์หนึ่งเขาอาจจะยอมทำเพื่อใครได้แม้จะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม
แต่เมื่ออยู่ในบางสถานการณ์เขาอาจจะยอมฆ่าคนอื่นเพื่อให้ตัวเองยังมีลมหายใจอยู่ก็ได้
สรุปแล้ว Judge (2013) Live action เกมพิพากษา เป็นหนังที่หากตั้งความหวังไว้สูงมากอาจจะไม่ถูกใจนัก คงต้องหันไปดู SAW ในแนวเดียวกันจะถึงใจมากกว่า
แต่หากอยากเปลี่ยนบรรยากาศดูแบบเอเชียบ้างชอบหนังที่พอได้ลุ้นกับสถานการณ์การตัดสินใจของตัวละคร แต่ไม่ชอบฉากชวนแหวะ โหดเลือดสาด หนังเรื่องนี้ก็คงพอตอบโจทย์ได้อยู่เหมือนกัน
#MovieReview #รีวิวหนัง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น