วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

Su Ki-Da (2005)

Su Ki-Da (2005) คำว่ารักมันยากจะเอ่ย
#ปีนรั้วรีวิว #Drama #Romance Director: Hiroshi Ishikawa

      อยากจะก็อปเอาประโยคเกริ่นถึงหนังเรื่อง Hana and Alice มาใส่เรื่องนี้จริงๆเลย เพราะว่าหนังทั้งสองเรื่องมันมีความเหมือนกันตรงที่ มันมีความเฉพาะตัวสูงไม่ใช่ใครก็ได้จะชอบหนังเรื่องนี้ รวมทั้งหลายๆคนที่ได้ดูก็อาจจะตกหลุมรักหนังเรื่องนี้ก็เป็นได้เช่นกัน
 
ยูสุเกะ (Eita) เด็กหนุ่มนักเรียนมัธยม ที่มักจะมานั่งเล่นกีตาร์อยู่ที่ริมเขื่อน โดยมีสาวน้อยเพื่อนร่วมห้องอย่าง ยู (Aoi Miyazaki) มานั่งฟังอยู่เป็นเพื่อนเสมอๆ แม้ว่า ยูสุเกะ จะไม่เคยเล่นได้จนจบเพลงเลยก็ตาม ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่สามารถก้าวข้ามคำว่าเพื่อนไปได้ เพราะว่าพี่สาวของ ยู ก็ชอบ ยูสุเกะ อยู่ด้วยเช่นกัน ซึ่งน้องสาวที่ดีอย่าง ยู ก็พยายามผลักให้พี่สาวของตัวเองและ ยูสุเกะ ได้ใกล้ชิดกัน แต่ดูเหมือนว่าเธอจะทำมันไม่สำเร็จ เพราะเมื่อไหร่ที่พี่สาวของ ยู ไปที่ริมเขื่อนเพื่อพบ ยูสุเกะ เขาก็จะไม่ได้ไปเล่นกีตาร์ที่นั่นเช่นเดิม
      จนในที่สุด ยูสุเกะ และ ยู ก็ได้เจอกันอีกครั้ง แล้วเหมือนว่าครั้งนี้ ยูสุเกะ พยายามจะบอกอะไรบางอย่างกับเธอ ทว่ายังไม่ทันที่ ยูสุเกะ จะพูดอะไรออกไป ยู กลับเป็นฝ่ายก้มลงมาจูบเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่แทนที่ ยูสุเกะ จะดีใจที่ตัวเองมัวแต่อ้ำอึ้งไม่กล้าเอ่ยสิ่งที่อยู่ข้างใน ปล่อยให้ฝ่ายหญิงที่แม้จะไม่ได้พูดอะไรออกมา แสดงออกด้วยท่าทางที่ชัดเจนถึงความรู้สึกของตัวเอง เขากลับหันหลังวิ่งหนีออกไป แล้วปล่อยให้ ยู ยืนร้องให้อยู่ตามลำพัง ซึ่งหลังจากวันนั้นมันก็ทำให้ ยู เริ่มถอดใจ จนกระทั่งวันหนึ่งมันก็เกิดเรื่องร้ายๆตามมา จนทำให้ทั้งสองคนไม่ได้เจอกันอีกเลยจนกระทั่ง 17 ปีผ่านไป
      ตอนดูหนังเกาหลีเรื่อง Come Rain Come Shine (2011) ของคู่พระนางฮยอนบินกับอิมซูจอง ผมก็ว่าหนังมีความต่อนยอนสูงแล้วนะ เจอ Su Ki-Da (2005) เรื่องนี้เข้าไปคารวะเลยนิ่งแบบฝุดๆ ฮ่าฮ่า เพราะหนังเรื่องนี้มันเหมือนเป็นการเล่าเรื่องราวผ่านภาพถ่าย ที่คนในภาพเคลื่อนไหวได้ยังไงยังงั้น บางครั้งตัวละครเดินผ่านกล้องออกไปนอกเฟรม จนเราไม่เห็นตัวละครแล้ว กล้องก็ยังแช่ภาพเอาไว้ เรายังสามารถได้ยินเสียงสนทนากันของตัวละคร แม้จะไม่มีใครอยู่สักคนอยู่ในฉากนั้นแล้วก็ตาม หรือการที่กล้องจับภาพตัวละครในท่าทางนิ่งเฉย แล้วก่อนที่ภาพจะตัดสลับไปแช่ภาพก้อนเมฆ แม่น้ำ ถนน ก่อนตัดสลับกลับมาที่ภาพตัวละครอีกครั้ง หากมองในแง่ของความเป็นศิลปะภาพยนตร์ ก็ต้องบอกว่าหนังทำได้โดดเด่นและน่าสนใจทีเดียว แต่หากมองในแง่มุมของคนที่เสพหนังเพื่อความบันเทิง คงต้องบอกเลยว่ามีโอกาสหล่นฟุบลงไปกับหมอนเหมือนกัน
      อีกสิ่งหนึ่งที่หนังมีอารมณ์คล้ายๆกับ Come Rain Come Shine (2011) ก็คือความกระอักกระอ่วนของสถานการณ์และความรู้สึกของตัวละคร ใน Come Rain Come Shine นั้น เป็นความรู้สึกของคนที่อยากรั้งให้อีกฝ่ายอยู่แต่ไม่สามารถทำได้ กับคนที่ลึกๆแล้วอาจจะไม่อยากจากไป แต่สิ่งที่ตัดสินใจไปแล้วมันไม่สามารถถอยหลังกลับได้

ส่วนในหนังเรื่อง Su Ki-Da มันเป็นความกระอักกระอ่วนใจ ของคนที่มีความรู้สึกบางอย่างต่อกัน แต่ไม่สามารถบอกความรู้สึกนั้นเป็นคำพูดออกไปได้  มันมีทั้งเรื่องพี่สาวของ ยู รวมถึงความไม่เข้าใจความรู้สึกตัวเองของ ยูสุเกะ ด้วย ภายในหนังผู้ชมอย่างเราจึงเห็นแต่ภาพของทั้งสองคน อ้ำอึ้งเหมือนอยากจะพูดอะไรออกไป แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเก็บมันเอาไว้ไม่สามารถเอ่ยออกไปได้ จนเวลาผ่านไปนานถึง 17 ปี ที่สองคนได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง แต่ไม่สปอยแล้วกันว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น เอาจริงตอนที่ผมดูก็ใจคอไม่ดีเหมือนนะ เลยอยากให้ทุกคนได้รับความรู้สึกนั้นเหมือนกัน ฮ่าฮ่า

      ส่วนที่ชอบที่สุดของหนังสำหรับผมไม่ใช่ความ Art หรือว่าอะไร แต่กลับเป็นเรื่องที่หนังเหมือนจะใส่เข้ามาเป็นมุกเล็กๆหรือเปล่าไม่แน่ใจ กับฉากหนึ่งที่ ยู เดินออกมากลางดึกเพราะอยากจะไปเจอกับ ยูสุเกะ แต่กลายเป็นว่าเธอเห็น ยูสุเกะ ยืนหันซ้ายหันขวาอยู่หน้าตู้ซื้อของอะไรซักอย่าง ซึ่งหลังจากที่เขาได้ของชิ้นนั้นแล้ว ยูสุเกะ ก็เอาซุกไว้ในเสื้อแล้ววิ้งปรู๊ดดดดดออกไปทันที ไปดูเองแล้วกันว่า ยูสุเกะซื้ออะไร แล้วในวันถัดมา ยูสุเกะ จะโดน ยู ด่าว่าอะไรด้วย ฮ่าฮ่า เอาจริง...โมเม้นต์แบบนี้มันมีสองครั้งในเรื่อง ซึ่งผมรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่น่ารักมากเลย ถึงมันออกจะดูเพี้ยนๆไปหน่อยก็เถอะ
      สรุปแล้ว Su Ki-Da (2005) เป็นหนังที่ใช้พลังงานในการดูค่อนข้างสูงนะ ทางที่ดีพยายามนอนให้เต็มอิ่มก่อนดูเลย ความเห็นส่วนตัวผมแล้วคล้ายๆกับ Hana and Alice นั่นแหละคือมันออกได้ทั้งสองหน้าทั้งชอบและไม่ชอบ เพราะมันไม่ใช่หนังรักแนวตลาดทั่วไป ส่วนตัวผมเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่ารู้สึกยังไงกับหนังเรื่องนี้ แต่ถามว่ารู้สึกว่าเสียเวลามั้ยที่ดูก็ตอบว่าไม่เลย เพราะว่าหนังมันก็มีอะไรให้เรารู้สึกว่า เฮ้ยมันดีมันเจ๋งอยู่เหมือนกัน

#MovieReview #รีวิวหนัง




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Review: #Alive (2020)

 #Alive (2020) คนเป็นฝ่านรกซอมบี้ Screenwriter & Director:   Jo Il Hyung       ตั้งแต่ทั่วโลกได้รู้จักกับ Train to Busan ก็ต้องบอกว่า ไม...