#ปีนรั้วรีวิว #Drama #Romance Director: Hiroshi Ishikawa
อยากจะก็อปเอาประโยคเกริ่นถ
ยูสุเกะ (Eita) เด็กหนุ่มนักเรียนมัธยม ที่ม ักจะมานั่งเล่นกีตาร์อยู่ที่ริมเขื่อน โดยมีสาวน้อยเพื่อนร่วมห้อง อย่าง ยู (Aoi Miyazaki) มานั่งฟังอยู่เป็นเพื่อนเสมอๆ แม้ว่า ยูสุเกะ จะไม่เคยเล่นได้จนจบเพลงเลย ก็ตาม ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม ่สามารถก้าวข้ามคำว่าเพื่อน ไปได้ เพราะว่าพี่สาวของ ยู ก็ชอบ ยูสุเกะ อยู่ด้วยเช่นกัน ซึ่งน้องสาวที่ดีอย่าง ยู ก็พยายามผลักให้พี่สาวของตั วเองและ ยูสุเกะ ได้ใกล้ชิดกัน แต่ดูเหมือนว่าเธอจะทำมันไม ่สำเร็จ เพราะเมื่อไหร่ที่พี่สาวของ ยู ไปที่ริมเขื่อนเพื่อพบ ยูสุเกะ เขาก็จะไม่ได้ไปเล่นกีตาร์ที่น ั่นเช่นเดิม
จนในที่สุด ยูสุเกะ และ ยู ก็ได้เจอกันอีกครั้ง แล้วเหมื อนว่าครั้งนี้ ยูสุเกะ พยายามจะบอกอะไรบางอย่างกับ เธอ ทว่ายังไม่ทันที่ ยูสุเกะ จะพูดอะไรออกไป ยู กลับเป็นฝ่ายก้มลงมาจูบเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่แทนที่ ยูสุเกะ จะดีใจที่ตัวเองมัวแต่อ้ำอึ้งไม่กล้าเอ่ยสิ่งที่อยู่ข้างใน ปล่อยให้ฝ่ายหญิงที่ แม้จะไม่ได้พูดอะไรออกมา แสดงออกด้วยท่าทางที่ชัดเจนถึงความรู้สึกของตัวเอง เขากลับหันหลังวิ่งหนีออกไป แล้ว ปล่อยให้ ยู ยืนร้องให้อยู่ตามลำพัง ซึ่งหลังจากวันนั้นมันก็ทำใ ห้ ยู เริ่มถอดใจ จนกระทั่งวันหนึ่งมันก็เกิดเรื่องร้ายๆตามมา จนทำให้ทั้งสอง คนไม่ได้เจอกันอีกเลยจนกระท ั่ง 17 ปีผ่านไป
ตอนดูหนังเกาหลีเรื่อง Come Rain Come Shine (2011) ของคู่พระนางฮยอนบินกับอิมซูจอง ผมก็ว่าหนังมีความต่อนยอนสูงแล้ว นะ เจอ Su Ki-Da (2005) เรื่องนี้เข้าไปคารวะเลยนิ่งแบบฝุดๆ ฮ่าฮ่า เพราะหนังเรื่องนี้มันเหมือนเป็นการเล ่าเรื่องราวผ่านภาพถ่าย ที่คนใน ภาพเคลื่อนไหวได้ยังไงยังงั้น บางครั้งตัวละครเดินผ่านกล้ องออกไปนอกเฟรม จนเราไม่ เห็นตัวละครแล้ว กล้องก็ยังแช่ภาพเอาไว้ เรายังสามารถได้ยิน เสียงสนทนากันของตัวละคร แม้จะไม่มีใครอยู่สักคนอยู่ในฉากนั้นแล้วก็ตาม หรือการที่กล้องจับภาพตัวละ ครในท่าทางนิ่งเฉย แล้วก่อนที่ภาพจะตัดสลับไปแช่ภาพก้อนเม ฆ แม่น้ำ ถนน ก่อนตัดสลับกลับมาที่ภาพตัว ละครอีกครั้ง หากมองในแง่ของความเป็นศิลป ะภาพยนตร์ ก็ต้องบอกว่าหนังท ำได้โดดเด่นและน่าสนใจทีเดี ยว แต่หากมองในแง่มุมของคนที่เ สพหนังเพื่อความบันเทิง คงต้ องบอกเลยว่ามีโอกาสหล่นฟุบลงไปกับหมอ นเหมือนกัน
อีกสิ่งหนึ่งที่หนังมีอารมณ ์คล้ายๆกับ Come Rain Come Shine (2011) ก็คือความกระอักกระอ่วนของส ถานการณ์และความรู้สึกของตั วละคร ใน Come Rain Come Shine นั้น เป็นความรู้สึกของคนที่ อยากรั้งให้อีกฝ่ายอยู่แต่ไ ม่สามารถทำได้ กับคนที่ลึกๆแล้วอาจจะไม่อย ากจากไป แต่สิ่งที่ตัดสินใจไ ปแล้วมันไม่สามารถถอยหลังกล ับได้
ส่วนในหนังเรื่อง Su Ki-Da มันเป็นความกระอักกระอ่วนใจ ของคนที่มีความรู้สึกบางอย่ างต่อกัน แต่ไม่สามารถบอกความรู้สึกน ั้นเป็นคำพูดออกไปได้ มันมีทั้งเรื่องพี่สาวของ ยู รวมถึงความไม่เข้าใจความรู้ สึกตัวเองของ ยูสุเกะ ด้วย ภายในหนังผู้ชมอย่างเราจึงเห็นแต่ภาพของทั้งสอง คน อ้ำอึ้งเหมือนอยากจะพูดอะ ไรออกไป แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเก็บ มันเอาไว้ไม่สามารถเอ่ยออกไปได้ จนเวลาผ่านไปนานถึ ง 17 ปี ที่สองคนได้กลับมาเจอกันอ ีกครั้ง แต่ไม่สปอยแล้วกันว่าเกิดอะ ไรขึ้นหลังจากนั้น เอาจริงตอนที่ผมดูก็ใจคอไม่ดีเหมือนนะ เล ยอยากให้ทุกคนได้รับความรู้สึกนั้นเหมือนก ัน ฮ่าฮ่า
ส่วนที่ชอบที่สุดของหนังสำหรับผมไม่ ใช่ความ Art หรือว่าอะไร แต่กลับเป็นเรื่องที่หนังเห มือนจะใส่เข้ามาเป็นมุกเล็ก ๆหรือเปล่าไม่แน่ใจ กับฉากหนึ่งที่ ยู เดินออกมากลางดึกเพราะอยากจ ะไปเจอกับ ยูสุเกะ แต่กลายเป็นว่าเธอเห็น ยูสุเกะ ยืนหันซ้ายหันขวาอยู่หน้าตู ้ซื้อของอะไรซักอย่าง ซึ่งหลังจากที่เขาได้ของชิ้นนั้ นแล้ว ยูสุเกะ ก็เอาซุกไว้ในเสื้อแล้ววิ้ง ปรู๊ดดดดดออกไปทันที ไปดูเองแล้วกันว่า ยูสุเกะซื้ออะไร แล้วในวันถัดมา ยูสุเกะ จะโดน ยู ด่าว่าอะไรด้วย ฮ่าฮ่า เอาจริง...โมเม้นต์แบบนี้มันมีสอ งครั้งในเรื่อง ซึ่งผมรู้สึกว่ ามันเป็นอะไรที่น่ารักมากเล ย ถึงมันออกจะดูเพี้ยนๆไปหน่อยก็ เถอะ
สรุปแล้ว Su Ki-Da (2005) เป็นหนังที่ใช้พลังงานในการ ดูค่อนข้างสูงนะ ทางที่ดีพยายามนอนให้เต็มอิ่มก่อนดูเลย ความเห็นส่วนตัวผมแล้วคล้าย ๆกับ Hana and Alice นั่นแหละคือมันออกได้ทั้งสอ งหน้าทั้งชอบและไม่ชอบ เพราะ มันไม่ใช่หนังรักแนวตลาดทั่ วไป ส่วนตัวผมเองก็ตอบไม่ได้เหม ือนกันว่ารู้สึกยังไงกับหนั งเรื่องนี้ แต่ถามว่ารู้สึกว่าเสียเวลา มั้ยที่ดูก็ตอบว่าไม่เลย เพราะว่าหนังมันก็มีอะไรให้ เรารู้สึกว่า เฮ้ยมันดีมันเจ ๋งอยู่เหมือนกัน
#MovieReview #รีวิวหนัง
จนในที่สุด ยูสุเกะ และ ยู ก็ได้เจอกันอีกครั้ง แล้วเหมื
ตอนดูหนังเกาหลีเรื่อง Come Rain Come Shine (2011) ของคู่พระนางฮยอนบินกับอิมซูจอง ผมก็ว่าหนังมีความต่อนยอนสูงแล้ว
อีกสิ่งหนึ่งที่หนังมีอารมณ
ส่วนในหนังเรื่อง Su Ki-Da มันเป็นความกระอักกระอ่วนใจ
ส่วนที่ชอบที่สุดของหนังสำหรับผมไม่
สรุปแล้ว Su Ki-Da (2005) เป็นหนังที่ใช้พลังงานในการ
#MovieReview #รีวิวหนัง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น