Fleet of Time (2015)

Fleet of Time (2015) คำตอบของใจคือใช่เธอ
#ปีนรั้วรีวิว #Drama #Romance #EddiePeng#NiNi

      คำที่เรามักจะได้ยินบ่อยๆในหนังรักคำนึงก็คือคำว่า “เวลาของความสุขมักจะผ่านไปเร็ว” ที่เรารู้สึกว่ามันผ่านไปเร็วก็คงเพราะว่าเรามัวแต่ตักตวงและหลงอยู่กับห้วงอารมณ์นั้น จนเมื่อโลกของความเป็นจริงมาปลุกให้เราตื่นอีกที ก็เมื่อช่วงเวลาเหล่านั้นมันผ่านไปแล้ว ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดๆ ความสุขของคนเรามันก็เหมือนไอติมนั่นแหละ 

      เมื่อเราหยิบออกมาจากตู้แช่แล้วถ้าเราไม่รีบกินมันก็ละลายหมดไปอยู่ดี หรือต่อให้เรารีบกินมันก็จะหมดไปอย่างรวดเร็ว  อาจจะทำให้เราปวดจี๊ดขึ้นสมอง และเราเองก็ยังไม่ทันที่จะได้ซึมซับกับรสชาติความหวานของไอติมแท่งนั้นอย่างเต็มที  ไม่ว่าทางไหนความสุขมันก็ต้องจากเราไปอยู่ดี เพียงแต่ว่าเราจะทำยังไงให้ภาพความสุขเหล่านั้นมันสวยงามในใจเราเสมอ

      เหล่าเพื่อนซี้สมัยมัธยมจัดงานปาตี้สละโสดให้กับ เจ้าเย่ ว่าที่เจ้าบ่าวที่กำลังจะแต่งงานในอีกไม่กี่วัน หนึ่งในแขกรับเชิญก็คือ เฉินซุน หนุ่มนักบัญชีที่เมาหนักจนเลยเถิดไปกับ ชีชี ช่างภาพสาวที่จะมาถ่ายงานแต่งให้กับ เจ้าเย่ ที่ธีมของวีดีโองานแต่งเป็นการให้เหล่าเพื่อนซี้พูดถึงความรักของแต่ละคนในอดีต ซึ่ง ชีชี ก็ดูจะสนใจเรื่องราวของเพื่อนเจ้าบ่าวอย่าง เฉินซุน เป็นพิเศษกว่าใคร

      เฉินซุน เด็กหนุ่มที่ตกหลุมรัก ฟางหุย เด็กสาวเพื่อนร่วมห้องที่มักจะเก็บตัวเงียบและไม่ค่อยพูดจาอะไรกับใคร แต่ที่สุดแล้ว เฉินซุน ก็สามารถทำให้เธอเปิดใจให้กับเขาได้ แม้ว่าความรักของทั้งคู่จะมีพ่อของ ฟางหุย ที่ไม่ชอบใจนักที่ลูกสาวจะมีแฟน และเฉียวหลาน เพื่อนซี้ในกลุ่มที่ก็แอบชอบ ฟางหุย อยู่ด้วยเหมือนกัน 

      แต่ ฟางหุยกับเฉินซุน ก็ประคับประคองความรักตลอดรอดฝั่งมาได้ จนถึงมหาลัยที่ทั่งคู่ใช้ความพยายามจนได้เรียนที่เดียวกัน กระนั้นถึงจะเรียนในที่เดียวกันแต่ด้วยวัยที่โตขึ้น ต่างคนต่างมีหน้าที่ความรับผิดชอบต่างกัน รวมถึงยังได้เจอกับผู้คนใหม่ๆที่เข้ามามากมาย ก็เป็นช่วงเวลาที่ต้องพิสูจน์หัวใจของแต่ละฝ่ายว่าจะยังเหมือนเดิมกับในทุกวันที่ผ่านมาหรือเปล่า

      เป็นหนังที่จะว่าไปเนื้อเรื่องค่อนข้างฮาร์ดคอร์และน่าจะรู้สึกหน่วงๆกับบางช่วงของหนังนะ แต่กลายเป็นว่าการเล่าเรื่องแบบตัดสลับปัจจุบันกับอดีตบ่อยครั้งไปบางทีมันก็ลดความต่อเนื่องของอารมณ์ไปเหมือนกัน เอาจริงๆแล้วพล็อตหรือว่าเนื้อเรื่องของหนังก็แทบไม่ต่างจากหนังรักย้อนวัยเรื่องอื่นๆของจีนและไต้หวันที่ทำออกมาก่อนหน้านี้ เรียกได้ว่าแตกต่างกันในระดับรายละเอียดกับการนำเสนอเท่านั้นเอง

      สำหรับเรื่องนี้แล้วส่วนตัวผลออกมาระดับกลางๆนะยังถือว่าชอบน้อยกว่าเรื่องก่อนๆหน้านี้ที่เคยดู แต่ก็ยังมีส่วนที่ชอบและคิดว่านำเสนอออกมาได้ดีกว่าเรื่องอื่นก็คือ หนังเรื่องนี้ไม่ได้นำเสนอแต่เฉพาะเรื่องราวของคู่พระเอกนางเอกอย่าเดียว แต่ในเรื่องราวความรักของตัวละครอื่นหนังก็ไม่ได้หลงลืมและค่อนข้างนำเสนอเยอะพอสมควร 

      ไม่ว่าจะคู่ เจ้าเย่กับหลินเจียโม่ ที่เจ้าเย่แอบรักเธออยู่ข้างเดียว ส่วนหลินเจียโม่ ก็ไปแอบรักนักกีฬาประจำโรงเรียนที่ไม่เคยมองเธอเลย ทั้งสองคนก็เลยได้แค่เป็นเพื่อนซี้ที่ต่างก็รู้ใจอีกฝ่าย แต่ไม่สามารถเป็นอะไรไปได้มากกว่านั้น หรือ เฉียวหลาน ที่แอบชอบ ฟางหุย ที่ไม่ว่าจะทำยังไงหรือผ่านเวลาไปนานแค่ไหนเขาก็ไม่อาจจะเอาชนะใจเธอได้

      ส่วนเรื่องราวของคู่พระนางก็เหมือนกับหนังรักย้อนวัยหลายๆเรื่องก่อนหน้านี้ที่ตอนเรียนมัธยมอะไรก็ดีสดใสไปหมด แต่เมื่อโตขึ้นถึงวัยเรียนมหาลัยต้องเข้าไปเจอผู้คนใหม่ๆมากมาย  บางครั้งถ้าเราไม่หนักแน่นพอเผลอปล่อยตัวปล่อยใจให้เลยเถิดไป บางทีมันอาจจะไม่ใช่แค่ความรักของเราจบลงเท่านั้น แต่มันอาจจะกลายเป็นการที่เราทำร้ายและผลักคนที่รักเราไปเจอกับปัญหาโดยไม่รู้ตัว ซึ่งกว่าจะมีอะไรมาปลุกเราให้ตื่นก็เมื่อตอนที่เราสูญเสียไปหมดทุกอย่างแล้ว

      และเรื่องที่สำคัญที่สุดที่หนังอาจจะใช้ยาแรงในการเตือนสติเราในการที่ความรักมันจบลง ว่าเราไม่ควรจะรักอีกฝ่ายมากมายจนลืมรักตัวเองเพราะว่าเรื่องบางอย่างเมื่อเราตัดสินใจทำไปแล้วเราไม่สามารถย้อนกลับหลังได้ และมันอาจจะเป็นแผลที่ฝังอยู่ในใจเราไปตลอด และสุดท้ายแล้ว ยิ่งถ้าเราไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้แล้ว เราก็คงไม่สามารถเริ่มต้นใหม่ได้อีก

      สรุปแล้ว Fleet of Time อาจจะเป็นหนังที่การเล่าเรื่องไม่ทำให้อารมณ์ต่อเนื่องนัก แต่สำหรับใครที่มีอดีตรักแรกในวัยเรียนแล้วได้ดูหนังเรื่องนี้ ก็คงอินไปกับหนังได้ไม่ยาก แม้เรื่องราวตั้งแต่ช่วงกลางของหนังจะหนักและหน่วงในความรู้สึกของเราอยู่พอควร

#MovieReview #รีวิวหนัง